เห็นภาพการจับกุมและทำลายเนื้อหมูเถื่อน เนื้อวัวเถื่อน ตั้งแต่ช่วงต้นปี 66 เป็นต้นมา ถือว่าหนักข้อมากขึ้น จากตัวเลขหมูเถื่อนตรงโน้น 7 แสนกิโลกรัม จับและอายัดในห้องเย็นกลางเมืองนครปฐม 59 ตัน ตำรวจสอบสวนกลางเผาทำลายเนื้อวัวเถื่อน 29,000 กิโลกรัม หรือแม้แต่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรฯ ยังไปแถลงโชว์ขั้นตอนการเผาทำลายเนื้อวัวเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาในประเทศไทยกว่า 110 ตัน

โรคระบาด-หมูแพง-หมูเถื่อน

ทีมข่าว Special Report เกาะติดปัญหาโรคระบาดในหมูของเกษตรกรรายย่อย รายเล็ก มาตั้งแต่ปลายปี 64 ถึงต้นปี 65 ทำให้ราคาหมูเป็นๆ (หมูตัว) ทะยานขึ้นไปถึงกิโลกรัมละ 114 บาท (คูณด้วย2คือราคาหมูชำแหละ) ซึ่งขณะนั้นมีการถกเถียงกันว่าควรมีการนำเข้าหมูชำแหละ เข้ามาวางขายในประเทศไทยหรือไม่ เนื่องจากผู้บริโภคต้องซื้อหมูแพงกิโลกรัมละ 250 บาท

แต่มีการคัดค้านกันมากมาย ไม่ให้มีการนำเข้าหมูชำแหละ เนื่องจากจะทำลายอาชีพการเลี้ยงหมูของเกษตรกรรายย่อย-รายเล็ก เนื่องจากหมูนำเข้ามีต้นทุนการเลี้ยงต่ำกว่าเกษตรกรไทย จึงสามารถกดราคาขายได้ถูกกว่าถึง 50% สุดท้ายหมูเถื่อนจึงเริ่มทะลักลักลอบเข้ามาทางชายแดนภาคเหนือ ชายแดนภาคอีสาน และพัฒนาขนหมูเถื่อนเข้ามาในห้องเย็น เข้ามาทางท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี

ทีมข่าว Special Report ทราบข้อมูลจากผู้เกี่ยวข้องในวงการหมู-วัวไทย ว่าขบวนการค้าหมูเถื่อนมีการทดลองหยั่งเชิงขนเข้ามาทางท่าเรือ 2-3 ตู้ก่อน หลังจากนั้นจึงสั่งเข้ามาล็อตใหญ่ 161 ตู้ ติดค้างอยู่ที่ท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จึงรับไปเป็นคดีพิเศษ

เพ่งเล็ง “3คนดัง”เบื้องหลังของเถื่อน!

แหล่งข่าวจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในแวดวงหมู-วัว กล่าวว่าลักลอบขนเข้ามาทีละ 161 ตู้ มันเอิกเกริกไป ดังนั้นคนในท่าเรือจึงต้องสะกิดให้คนสั่งนำเข้าไหวตัวก่อน อย่าเข้ามาแสดงตัวตนรับหมูเถื่อน 161 ตู้ เมื่อไม่มีใครมารับของ หมูเถื่อน 161 ตู้ จึงตกค้างอยู่ที่ท่าเรือเพื่อรอขนไปทำลาย ส่วนจะมีการสอบสวนจากผู้ส่งต้นทางหรือเปล่านั้น ยังไม่มีใครทราบ

โดยปัญหาเนื้อหมูเถื่อน เนื้อวัวเถื่อน ที่กำลังระบาดตั้งแต่กลางปี 65 เรื่อยมา ลำพังเจ้าหน้าที่รัฐตัวเล็กๆ ทำไม่ได้หรอก แต่คนทำต้องมีเครือข่ายกว้างขวางมากพอสมควร ต้องมีอิทธิพลและบารมี นอกจากจะมีเจ้าเหน้าที่รัฐคอยเป็นหูเป็นตาให้แล้ว ยังต้องมีห้องเย็น มีโรงเชือด มีเครือข่ายในการวางตลาด เรียกว่าต้องสัมพันธ์กันทั้งหมด

“ปัจจุบันคนในวงการเพ็งเล็งไปที่ตัวเป้งๆ 3 คนดัง พื้นที่จังหวัดภาคกลางว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหมูเถื่อน-วัวเถื่อน โดย 2 คนแรกนั้นมีเครือข่ายโรงเชือด จึงมีตลาดในการรองรับหมูชำแหละ (เขียงหมู-เนื้อ) ส่วนคนที่ 3 นั้นมีเครือข่ายทางภาคเหนือ ขึ้นไปถึงเมียนมา-ลาว ดังนั้นหมูเถื่อนในช่วงแรกๆ จึงทะลักเข้ามาทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และทางท่าเรือในภาคตะวันออก โดยขณะนี้ไม่ได้ปัญหาแค่หมูเถื่อน วัวเถื่อนในประเทศไทย แต่เริ่มมีการลักลอบส่งไก่เถื่อนเข้าไปประเทศจีน และเพิ่งถูกจับได้ แต่ยังมีปริมาณไม่มาก ตรงนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงไก่ตามมาในอนาคต ถ้าภาครัฐยังปล่อยปละละเลย” แหล่งข่าวระบุ

เสนอนำเข้าหมูบนโต๊ะไม่เอา!ลักลอบขนใต้โต๊ะดีกว่า!

ทางด้าน “เสี่ยตู่” คนรุ่นใหญ่ที่กระโจนเข้าวงการหมูแบบครบวงจร เนื่องจากมีทั้งฟาร์มเลี้ยง โรงเชือด และตลาดรองรับหมูชำแหละ เปิดเผยว่า “ผมคุยกับทีมข่าว Special Report ของเดลินิวส์ มาตั้งแต่ต้นปี 65 แล้วว่าให้ผู้เกี่ยวข้องคุยกันบนโต๊ะว่าควรนำเข้าหมู ในปริมาณเท่าไหร่ และในช่วงเวลาจำกัดเท่านั้น เพื่ออะไร เพื่อแก้ปัญหาโรคระบาด จนราคาหมูในประเทศไทยมีการลากกันขึ้นไปสูงมาก สูงจนยั่วยวนใจให้มีการลักลอบนำเข้า คือเราไม่นำเข้าหมูกันบนโต๊ะตั้งแต่แรก ตอนนี้จึงลักลอบนำเข้าใต้โต๊ะเต็มไปหมด ส่วนใครคือขาใหญ่ ใครอยู่เบื้องหลัง คนในวงการหมู-วัว รู้ดีครับ”

“เสี่ยตู่” เล่าต่อไปว่าตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี คนมีกำลังซื้อน้อย แล้วหมู 1 ตัวมีหลายส่วน เช่น หมูสามชั้น เนื้อแดง ขาหมู คอหมู หัวหมู เครื่องใน(ไส้-ตับ) เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี คนจึงซื้อแต่สามชั้น-เนื้อแดง แต่ส่วนอื่นมันขายไม่ค่อยได้ จึงเหลือทุกวันจะทำอย่างไร สมมุติถ้าต้องการสามชั้น 100 ชิ้น ต้องเชือดหมู 50 ตัว แล้วส่วนอื่นๆจะไปขายที่ไหน เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ ดังนั้นการสั่งหมูเถื่อนเข้ามาขายจึงตอบโจทย์ของตลาดเฉพาะได้ มันง่ายเพราะขายดี ขายได้เฉพาะสามชั้น-เนื้อแดง จึงเลือกซื้อจากหมูเถื่อนดีกว่า ขายแล้วยังมีกำไร จะไปล้มหมูทั้งตัวทำไม?

“ปัญหาใหญ่ระดับนี้แต่ถูกปล่อยให้มีสภาพเรื้อรังมานับปี สะท้อนให้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐ ความล่าช้าในการดำเนินคดี เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลเอาผิดกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ปัจจุบันจับมือใครดมได้บ้างหรือยัง” เสี่ยตู่ กล่าว