เพื่อดัน “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดต นายกรัฐมนตรี พรรค พท. ขึ้นบัลลังก์นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำรัฐบาลเดินหน้าบริหารให้ประเทศ ปักหมุดนำนโยบายที่หาเสียงไว้มาสานต่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและประชาชน จึงต้องมาดูว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะเดินหน้านโยบายอะไรบ้าง ที่จะทำได้สำเร็จภายใน 3 เดือน 6 เดือน “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ“ประเสริฐ จันทรรวงทอง” สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรค พท. หนึ่งในคีย์แมนสำคัญของพรรค ในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญๆไปสู่การปฏิบัติตามที่ได้หาเสียงไว้กับพี่น้องประชาชน

โดย “เลขาฯพรรคเพื่อไทย” ได้เปิดประเด็นถึงภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งทำทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล ว่า ปัญหาหลักตอนนี้คือ เรื่อง “เศรษฐกิจ” มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องหนี้ภาคครัวเรือที่สูงขึ้น จนใกล้จะแตะกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี 2.เรื่องเอ็นพีแอล 1 ล้านล้านบาท ถือว่า เป็นตัวเลขที่สูงมาก หากนำเรื่องเอ็นพีแอลมาแยกจะพบ ว่า ทั้งค่าผ่อนรถยนต์ ค่าผ่อนที่อยู่อาศัย และหนี้สินส่วนต่างๆ นับว่าน่ากลัวมากจนถึงขีดอันตราย ถ้าปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นแบบนี้วันหนึ่งประชาชนจะลำบาก เพราะฉะนั้น ปัญหาแรก คือ “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ”

แต่ก่อนที่จะออกนโยบายรัฐบาล  สิ่งแรกๆ ที่พรรคจะดำเนินการทันที คือ ลดราคาพลังงาน ทั้งค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า ค่าประปา เราจะพยายามลดราคาให้ได้มากที่สุด ต้องลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ซึ่งเป็นสูตรของพรรค พท. อยู่แล้ว ซึ่งนโยบายนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก เพราะเรื่องการลดราคาพลังงาน เป็นมาตรการที่สามารถดึงมาบังคับใช้ได้ทันที อาจจะใช้ในรูปแบบของกฎหมาย ในรูปแบบของมาตรการภาษี และไม่จำเป็นต้องนำเงินเข้าระบบ เพื่อเป็นภาระต่องบประมาณ ถ้าจะมีการใช้เงินงบประมาณเข้ามาก็อาจจะใช้ในจำนวนที่ไม่มาก 

ต่อมานโยบายที่จะคลอดออกมาในลำดับถัดไป คือ ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ถ้าตามตัวเลข 5 แสน 5 หมื่นล้านบาท คิดว่า จะสามารถกระตุ้นจีดีพีได้ ซึ่งจะเกิดอัตราจ้างงาน มีการผลิตเพิ่มขึ้น และเกิดเงินหมุนเวียนในระบบมากขึ้น รวมทั้งเกิดการจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น อันนี้เป็นนโยบายถ้าพรรค พท. ได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล 

@ นโยบายอะไรที่จะสามารถดำเนินการได้เสร็จภายใน 3 เดือน 6 เดือน

ต้องแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง และระยะยั่งยืน ซึ่งระยะเร่งด่วน ต้องลดราคาคาพลังงาน 

 ส่วนรอยต่อ ระยะเร่งด่วน และระยะกลาง จะคลอดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ถ้าตั้งรัฐบาลได้ในเดือนก.ย. ต้องมีการแถลงนโยบายรัฐบาลก่อน ส่วนงบประมาณจะเข้าสู่ประชุมสภาฯในเดือน ต.ค. คาดว่า รัฐบาลจะสามารถใช้งบประมาณได้ต้นปี 67 และนโยบายต่างๆ ก็จะเกิดขึ้นให้เห็น

“สิ่งที่สามารถทำได้ก่อนงบประมาณจะออกก็ คือ การลดค่าพลังงานต่างๆ พอเข้าสู่กลางปี 67 นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท จะสามารถทำได้ในช่วงนี้ เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคของประชาชน เรียกง่ายๆ ว่า ทำให้คนมีเงินในกระเป๋า 1 ครอบครัวมี 5 คนรวมกันก็ 5 หมื่นบาท เชื่อว่าเงินทุกบาททุกสตางค์จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้กับคนและเป็นสร้างอาชีพ”

ส่วนระยะยั่งยืนประชาชนก็มีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ภายในปี 2570 ก็ต้องทำให้ได้

ตอนนี้กระแสพรรค พท. ลดลงไปเรื่อยๆ เราจะเรียกคะแนนนิยม กู้ศรัทธากลับคืนมาได้อย่างไร

ต้องยอมรับว่าการตั้งรัฐบาลในสถานการณ์แบบนี้ไม่ง่าย ไม่ว่าใครจะตั้งก็ตามไม่ใช่แค่พรรค พท. เท่านั้น แต่เมื่อเราได้รับมอบหมายให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแล้วก็ต้องทำให้ เราคิดว่า ขณะนี้คือสถานการณ์พิเศษ ซึ่งประเทศจำเป็นต้องมีทางออกประเทศจำเป็นต้องมีรัฐบาล ถ้าพรรค พท. ไม่จัดตั้งรัฐบาลแล้วปล่อยให้พรรคอื่นก็จะยิ่งเป็นโจทย์ที่ยากขึ้นไปอีก 

คิดว่าผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เราจะไปต่อได้ขนาดไหน ถ้าทำงานอย่างหนักตอบสนองประชาชนและประเทศชาติได้ก็อาจจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความนิยมมีความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดี สมมุติว่า เราตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แต่บริหารประเทศล้มเหลว แล้วทำให้ค่านิยมเพิ่มขึ้นหรือเปล่าก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเรายังมีตัวตนของเราอยู่ ถ้าเอานโยบายดีๆ ไปปฏิบัติสู่พี่น้องประชาชนได้ ทำให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ผมคิดว่านั่นคือคำตอบมากกว่า

@ กรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาจะส่งผลดีต่อพรรค พท. อย่างไร 

“ทักษิณ” กลับมาก็เป็นเรื่องส่วนตัวของของท่าน และเป็นเรื่องครอบครัวที่ท่านคงคุยกันเองไม่เกี่ยวกับพรรค พท. แต่ในมุมมองส่วนตัวการที่ชีวิตของคนๆ หนึ่ง เคยดำรงตำแหน่งนายกฯเคยทำคุณงามความดีประโยชน์ให้กับประเทศชาติ และจากบ้านไป 17 ปีแล้ว ถ้าจะกลับมาบ้านเกิดแผ่นดินเกิด เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมคิดว่าสามารถกระทำได้ หากถามว่า มีผลต่อพรรค พท. หรือไม่นั้น  “ทักษิณ” หัวหน้าพรรคไทยรักไทย วันนี้แม้ท่านจะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว และไม่ได้ยุ่งกับพรรค พท. แล้ว ผมก็ยังมองว่าเป็นสิทธิ์ของท่านที่จะกลับประเทศ

@ ดูกระแสตอนนี้เหมือนว่าหาก “ทักษิณ” กลับมาจะทำให้สถานการณ์พรรค พท. ยิ่งทำให้คะแนนตกต่ำลงไปอีกเหตุจากการจัดตั้งรัฐบาล ที่ไปมีดีลลับดีลลวง การไปหักหลังพรรคก.ก. 

ไม่เกี่ยวกัน ตนคิดว่าต้องเอาเรื่องนี้แยกออกจากกัน เพราะการตั้งรัฐบาลก็มีวิถีทางของมัน ถึง “ทักษิณ”ไม่กลับมา ก็จะต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลอยู่แล้ว แต่หากกลับมาก็ทำตามกระบวนการทุกอย่าง ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถกระทำได้ แต่บังเอิญว่า สองเหตุการณ์ดันมาอยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้กันแค่นั้นเอง ถามว่า ประเทศมีอะไรเสียหายหรือไม่ก็ไม่มี 

“ไม่มีดีลลับ ไม่มีดีลลวง ทุกอย่างทำอย่างเปิดเผยทั้งสิ้น และไม่มีการหักหลังพรรค ก.ก. แม้กระทั่งล่าสุดวันที่เราเดินทางไปที่พรรค ก.ก. เพื่อที่จะไปสอบถามเรื่องการโหวตนายกฯ เราก็ทำอย่างเปิดเผย ฉะนั้นแล้วถ้าวันนั้นคำตอบเป็นอีกอย่างหนึ่ง สถานการณ์การเมืองก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่าพรรค ก.ก. ยกมือโหวตนายกฯให้พรรค พท. การเมืองก็จะออกมาเป็นอีกแบบหนึ่ง แล้วหากพ้นจากพรรค ก.ก. ก็ไม่ใช่ว่าพรรคการเมืองได้จัดตั้งรัฐบาลได้ง่าย นี่ไม่ใช่เห็นแก่ตัวหรือจะได้ผลประโยชน์อะไรอย่างที่เราบอกว่าทุกคนมีต้นทุนเราก็เสียต้นทุนไปมากเหมือนกัน เพราะทางเลือกมันมีไม่มาก”