หากเอ่ยถึงอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีหรือวงการ K-POP นั้น หลายคนคงเห็นตรงกันและต้องชื่นชมอย่างมากว่าได้มีการพัฒนาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมาตลอดระยะเวลากว่า 8 ปี และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและทุกภาคส่วนของเกาหลีถูกสนใจเวทีระดับโลกมากขึ้น โดยเฉพาะศิลปินหรือไอดอลเกาหลีที่เป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ก็มีอีกหลายมิติที่คนสนใจและอยากรู้ว่าความสำเร็จของพวกเขาว่าคืออะไรและปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เขาผลักดันอุตสาหกรรมบันเทิงของเขาให้กลายเป็น Soft Power ที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงขนาดนี้

งานนี้หากกล่าวถึงศิลปินเคป๊อบหรือไอดอลเกาหลีแล้ว พวกเขาก็คือฟันเฟื่องหนึ่งในการที่ทำให้ประเทศเกาหลีประสบความสำเร็จอย่างงดงามที่เชิญชวนให้คนทั่วโลกสนใจและอยากเดินทางไปท่องเที่ยว กินอยู่ เรียนต่อ ทำงานที่เกาหลี หรือแม้กระทั่งอยากเป็นไอดอลในวงเกาหลีกับเขาด้วย

ทั้งนี้ มีเด็กไทยหรือเยาวชนไทยจำนวนไม่น้อยที่เดินทางไปฝีกฝนเพื่อรอเดบิวต์เป็นศิลปินเกาหลี โดยพวกเขามีไอดอลตัวอย่างศิลปินเชื้อชาติไทยที่ไปประสบความสำเร็จในวงการเคป๊อบเป็นแบบอย่าง อาทิ นิชคุณ 2 PM , แบมแบม GO7 , มินนี่ (G)I-DLE , ลิซ่า BLACKPINK เป็นต้น โดยศิลปินดังกล่าวนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและเกาหลียิ่งแน่นแฟ้นและเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุด yimyim ได้รับเกียรติจาก นายโจ แจอิล ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย (Mr. Cho Jae il
Director of Korean Cultural Center in Thailand)
ในการกล่าวถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเกาหลีรวมถึงศักยภาพของเด็กไทยในสายตาของวงการบันเทิงเกาหลีด้วย

“ในปัจจุบันเกาหลีมีการขยายแพลตฟอร์มความบันเทิงของเกาหลีมากขึ้นในทุกๆช่องทาง ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความบันเทิงในส่วนของวงการ K-POP ได้มากขึ้น จริงๆคนไทยสนใจคอนเท็นต์ต่างๆของประเทศเกาหลีอย่างมาก โดยเฉพาะด้านความบันเทิง ซึ่งคนไทยคนแรกๆที่เป็นเสมือนคนบุกเบิกตลาด K-POP ให้คนไทยก็คือ นิชคุณ 2 PM ที่เป็นคนไทยในอุตสาหกรรม K-POP ต่อมาก็เป็น แบมแบม GO7 , มินนี่ (G)I-DLE , ลิซ่า BLACKPINK เป็นต้น นอกจากนี้ก็มีคนในแวดวงด้านกีฬาอย่าง โค้ชเช ที่เกี่ยวกับเทควันโด้ ตอนแรกเขาเป็นคนเกาหลี ต่อมาได้เปลี่ยนสัญชาติเป็นคนไทยแล้ว ตามด้วยการท่องเที่ยว โดยก่อนที่ทั่วโลกจะประสบปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 คนเกาหลีมีสถิติเดินทางมาเยือนประเทศไทยปีละ 1.9 ล้านคน และคนไทยก็ไปเยือนประเทศเกาหลีปีละ 5.5 แสนคน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นเยอะมากๆในหลายๆด้าน”

ขณะเดียวกัน เมื่อถามถึงอุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศเกาหลีที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเยาวชนไทยจำนวนมากก็อยากไปเดบิวต์เป็นศิลปิน K-POP ในเรื่องนี้ นายโจ แจอิล ได้กล่าวว่า “จริงๆค่ายต่างๆในอุตสาหกรรมบันเทิงของเกาหลีมีความสนใจในตัวเด็กไทยจำนวนมาก จึงทำให้มีการจัดออดิชั่นเฟ้นหาศิลปินในไทยอยู่ตลอด เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กไทยได้ทำตามความฝันในการเป็นศิลปินที่เกาหลี และเพื่อสานความสัมพันธ์ของสองชาติให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งหน้าที่ของศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทยเองก็มีคลาสเคป๊อบอะคาเดมี่จากค่าย YG Entertainment มาสอนร้องเพลงและอาจารย์สอนเต้นด้วย เพื่อทำให้เยาวชนไทยพัฒนาได้มากขึ้น ซึ่งทางศูนย์ฯมีความหวังเยอะมาก เพราะเห็นว่าเด็กไทยมีศักยภาพเยอะมากและสามารถพัฒนาต่อยอดได้ โดยศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีประจำประเทศไทย ก็มีการสอนหลากหลายแบบ ถ้าเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้าน มีสอนคายากึม และเครื่องดนตรีของเกาหลีมากมาย และมีการสอนวาดรูปโบราณเกาหลี แต่คลาสที่นักเรียนไทยสนใจเยอะที่สุดก็คือคลาสการเรียนภาษาเกาหลี ของสถาบันเซจง ซึ่งเรามีการส่งอาจารย์เกาหลีมาที่นี่ โดยสอนภาษาเกาหลีตั้งแต่ระดับต้นจนถึงอินเตอร์มีเดีย มีคลาสอาหารเกาหลีและอื่นๆที่น่าสนใจด้วยครับ”

ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า “ความงดงาม” ของวัฒนธรรมเกาหลีตลอดจน “อุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลี” ไม่ได้เติบโตแค่เพียงตัวเลขทางสถิติหรือตัวเลขทางการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมผ่านเพลงหรือการแสดงต่างๆเท่านั้น แต่วัฒนธรรมของเกาหลียังคงเป็น Soft Power สำคัญที่น่าหลงใหลและมีเสน่ห์อย่างมาก ซึ่งเด็กไทยเองก็ได้เรียนรู้การทำงานในรูปแบบของความเป็นมืออาชีพในการฝึกฝนตัวเองก่อนการเป็นศิลปินมากขึ้น และยิ่งทำให้สองประเทศเกิดความใกล้ชิดและกระชับความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย yimyim