“เราเกิดมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่เกิดมาเป็นความสมบูรณ์เเบบของใคร …. บางสถานการณ์ ตัวเราก็ทำได้แค่ อยู่นิ่งๆและหายใจเบาๆ เท่านั้นจริงๆ” 

กลายเป็นข่าวใหญ่ข่าวน่าสนใจในวงการตำรวจจราจรบ้านเราอย่างมาก หลังศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่ง เจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับ ตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิด ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2563 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศด้วย

คำพิพากษานี้สร้างความสะเทือนอย่างมาก ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องดำเนินการอุทธรณ์คำพิพากษาศาลปกครอง แต่ยังสั่งให้ทุกหน่วยปฏิบัติหน้าที่ตามเดิม จนกว่าจะมีกฎ ระเบียบ คำสั่ง เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

เรื่องนี้มันเริ่มต้นมาจากการที่ นางสุภา โชติงาม ผอ.สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 3 ฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กับผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ตำรวจและประชาชนมีข้อสงสัย เนื่องจาก ประกาศทั้ง 2 ฉบับนี้ที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรทางบก พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษทางอาญา แม้การลงโทษผู้กระทำความผิดได้จะต้องปราศจากข้อสงสัย

แต่ปรากฏว่ารูปแบบใบสั่งที่กำหนดขึ้นใหม่ตามประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ.2563 ได้ตัดสาระสำคัญในส่วนของการปฏิเสธการกระทำความผิดตามใบสั่ง บันทึกของผู้ต้องหา และบันทึกของพนักงานสอบสวน

กำหนดแค่วิธีชำระค่าปรับด้วยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่ง ทำให้ผู้รับใบสั่งเข้าใจว่าตัวเองต้องชำระค่าปรับเท่านั้น ซึ่งขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญทางอาญา และขัดต่อมาตรา 26 และมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการออกกฎที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้รับการพิจารณาโทษตามข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์แห่งการกระทำ

นอกจากนี้ การที่ตร.และผบ.ตร.มีการเสนอกฎหมายเชื่อมโยงการชำระค่าปรับกับการชำระภาษีรถประจำปี โดยหากเจ้าของรถไม่ชำระค่าปรับ เมื่อไปชำระภาษีประจำปีจะได้รับเพียงเครื่องหมายแสดงการเสียภาษีชั่วคราว 30 วัน เมื่อพ้น 30 วัน หากไม่ชำระค่าปรับและนำรถไปใช้ ก็จะมีความผิดฐานใช้รถที่ไม่ติดเครื่องหมายที่นายทะเบียนออกให้

โดยหลักการการชำระภาษีรถเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวรถ แต่การกระทำผิดจราจรเป็นเรื่องของบุคคล การนำ 2 เรื่องมาเชื่อมโยงกันจึงไม่ถูกต้อง และเป็นการบังคับทางอ้อมให้เจ้าของรถต้องยินยอมชำระค่าปรับ อีกทั้ง ตร.ได้ออกประกาศ เรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 พ.ศ.2563

ซึ่งมีสาระสำคัญกำหนดค่าปรับจำนวนแน่นอน จึงเป็นการตัดอำนาจดุลพินิจของเจ้าพนักงานจราจรที่จะพิจารณากำหนดค่าปรับให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด ต้องเปรียบเทียบปรับตามอัตราที่ประกาศกำหนดเท่านั้น

มันจึงขัดต่อความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ที่มีเจตนารมณ์ เพื่อควบคุมกำกับการใช้รถให้เกิดความปลอดภัย ส่งเสริมวินัยจราจร และให้มีการลงโทษผู้กระทำผิดตามพฤติการณ์แห่งการกระทำผิดด้วยความเสมอภาค

ทำให้ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. มีหนังสือคำสั่งด่วนถึงตำรวจผู้ปฎิบัติงานทั่วประเทศให้ดำเนินการดังต่อไปนี้ 1.ในกรณีที่ได้มีการออกใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรไปแล้ว หากผู้รับใบสั่งปฎิเสธ หรือมีข้อโต้แย้งใดๆ ให้พนักงานสอบสวนรับฟังข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน จนปราศจากข้อสงสัย แล้วใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบในการกำหนดค่าปรับ ให้เหมาะสมกับพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด และเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย

2.ในกรณีที่พบการกระทำความผิด ก่อนการออกใบสั่งทุกครั้ง ให้เจ้าพนักงานจราจรใช้ดุลพินิจในการปฎิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม และให้สิทธิในการโต้แย้งได้ตามกฎหมาย โดยระมัดระวังมิให้มีการใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตของกฎหมาย และจะต้องไม่กระทบสิทธิ เสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

3.ให้ผู้บังคับบัญชาในสายงานจราจร ชี้แจงทำความเข้าใจเจ้าหน้าที่ปฎิบัติงานให้รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และควบคุมกำกับดูแลการปฎิบัติโดยใกล้ชิด

ถึงจะมีแนวทางดำเนินการออกมาแต่รับรองว่าเรื่องนี้ยังต้องวุ่นต่อไปแน่ ตำรวจจะดำเนินการอย่างไร ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในฐานะผู้เสียหายโดยตรง จะต้องดำเนินการอย่างไร หากมีใบสั่งจราจรที่เป็นข้อพิพาทกันอยู่ ยังต้องชำระหรือไม่ อย่างไร แล้วหากไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประชาชนยังต้องชำระหรือไม่ แล้วที่ชำระไปแล้วต้องทำอย่างไร

คำพิพากษาได้ให้มีผลไปตั้งแต่ปี 2563 นี่เป็นสิ่งที่ประชาชนสงสัย นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีในฐานะกำกับดูแลตำรวจจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร รวมถึงจะป้องกันอย่างไร ไม่ให้มีการออกกฎเกณฑ์ คำสั่งต่างๆ ที่กระทบต่อประชาชน แต่สุดท้ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย..โอ๊ย! แค่คิดเล่นๆก็มึนตึ้บแล้ว.

ข่าวสารตำรวจ

คดีอืดกว่าเต่าป่วย
ฝากเรียน “เพื่อขอพึ่งใบบุญ” ท่าน ผบก.ภ.ว.นนทบุรี และ ท่าน ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะไม่รู้จะพึ่งใครแล้ว คดี “สาวออฟฟิศ” เข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ว่าถูกแก๊งมิจฉาชีพแสบ หลอกให้ลงทุนเทรดผ่านแอปฯดัง หลังตกเป็นเหยื่อโอนเงินไปหลักพันจนถึงหลักหมื่นหลักแสนบาท เบ็ดเสร็จโดนหลอกไปเกือบ 6 แสนบาท …นี่ผ่านไปนานเกือบ 8 เดือนคดีแทบไม่คืบหน้า ทั้งที่ผู้เสียหายหาเอกสารหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์มามอบให้ตำรวจเยอะแยะ จนท่านผู้กำกับโรงพักยังเอ่ยปากชม ที่ผ่านมาพ่อของผู้เสียหายก็ทั้งโทรศัพท์และแวะเวียนไปตามความคืบหน้าของคดีที่โรงพัก ก็ไม่ได้รับคำตอบเป็นชิ้นเป็นอัน

ล่าสุดพ่อผู้เสียหายโทรศัพท์ไปสอบถามพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีเมื่อประมาณวันที่ 8 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้รับคำตอบแบบอึกๆ อักๆ ว่าออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีที่รับโอนเงินไปซึ่งน่าจะเป็นบัญชีม้าไปแล้ว 1 ครั้ง พ่อผู้เสียหายฟังแล้วแทบช็อก อะไรกันผ่านมาจะ 8 เดือนเพิ่งออกหมายเรียกไปแค่ครั้งเดียว คดีช้ายิ่งกว่าเต่าป่วยเดินต้วมเตี้ยม ป่านนี้พวกมิจฉาชีพคงเบิกบานกับเงินของเหยื่อไปไหนต่อไหนแล้ว

บรรทัดอยากเรียนด้วยความเคารพว่า ไม่ว่าผู้เสียหายจะเป็นใคร คนธรรมดา พนักงานบริษัท หรือคนเด่นคนดัง(ที่พอเป็นข่าวก็ไล่จับกันได้ปุ๊บปั๊บ) ตำรวจในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ควรทำหน้าที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข รับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่ …จะคดีเยอะหรือน้อย ทั้งพนักงานสอบสวน และผู้บังคับบัญชาต้องบริหารจัดการให้ดีไม่ให้กระทบกับประชาชน …ถ้ามัวแต่ขอให้เข้าใจตำรวจ ก็คงต้องถามกลับไปบ้างว่า แล้วตำรวจล่ะเข้าใจหัวอกประชาชนคนเดือดร้อนมากน้อยแค่ไหน หรือต้องให้ประชาชนไปสืบหาไปไล่จับผู้ร้ายกันเอง จะเอาแบบนั้นเหรอครับ!?

ผลงานดีเด่น
พ.ต.ต.พงษ์สิทธิ์ อนันต์เต่า สว.สภ.บ้านแก้ง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ พร้อมผู้นำชุมชน บ้านหนองเเซง​ใหญ่​ หมู่ 4 ต.บ้าน​แก้ง​ เข้ารับใบประกาศรางวัล ผลงานดีเด่น จังหวัดชัยภูมิ หลัง ร่วมกันขับเคลื่อน โครงการชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน แบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ จนสำเร็จ ช่วยเหลือลูกหลานชาวบ้านในพื้นที่ ที่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ให้เลิกยุ่งเกี่ยวเกือบทั้งหมู่บ้าน

ปฎิบัติงานดีเด่น
พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา เป็นตัวแทน มอบ ประกาศนียบัตร ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้กับ พ.ต.ต.เสนีย์ พาชอบ สารวัตรสอบสวน สภ.พระนครศรีอยุธยา เป็นผู้ปฎิบัติงานดีเด่น ตามโครงการ“ ตำรวจดีเด่น 2566”

เตือนรับมวลน้ำใหญ่
ขณะที่พายุปลายฝนต้นหนาวได้มาเยือนพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ ในส่วนของอำเภอเมืองหนองบัวลำภู เมื่อคืนที่ผ่านมามวลน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ทางเหนือที่อยู่ในบริเวณเส้นทางน้ำลำพะเนียงใหลผ่าน พ.ต.อ.เกียรติภุมิ สุวรรณไตรย์ ผกก.สภ.เมืองหนองบัวลำภู นอนตาไม่หลับกลัวประชาชนจะไม่ได้รับความสะดวกและปลอดภัย จึงสั่งการให้ พ.ต.ท.วิษณุ พิมพ์โพธิ์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองหนองบัวลำภู พ.ต.ท.วาทชัย สัมนวนชี สวป.สภ.เมืองหนองบัวลำภู ร้อยเวร 6-0 พร้อมชุดจราจรจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ประจำจุดให้สัญญาณการขับขี่รถยนต์ทุกชนิดผ่านทั้งถนนรอบเมืองและภายในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภูไปมาสะดวก ในขณะที่มวลน้ำจำนวนมากที่เกิดจากฝนที่ตกสะสมหลายวัน กำลังไหลผ่านเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู คาดว่าระดับน้ำที่ไหลผ่านจะมีปริมาณใกล้เคียง หรืออาจสูงกว่าปีที่ผ่านมา จึงขอให้พี่น้องประชาชนขนย้ายสิ่งของเครื่องใช้ที่อาจเสียหายจากน้ำท่วม ไว้ในที่ปลอดภัยและระมัดระวังอันตรายอื่นๆจากระดับน้ำที่สูงขึ้นด้วย

จิตอาสา
ว่าที่ร้อยตรีศราวุธ กรจิระเจริญ นายอำเภอพนัสนิคม จ.ชลบุรี พ.ต.อ.ถาวร นาใจเย็น ผกก.สภ.พนัสนิคม พ.ต.ท.ภูริทัต ขนบดี สว.สอบสวนฯ ปรท.รอง ผกก.ป. สภ.พนัสนิคม นายชัยศักดิ์ บูรณเจริญกิจ นายกเทศ มนตรีตำบลหัวถนน พร้อมข้า ราชการตำรวจจิตอาสา หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น ประชาชนจิตอาสา ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒ นาทำความสะอาด กวาดลานวัด ปรับภูมิทัศน์ถนนข้างทาง เนื่องในวันสำคัญของชาติประจำปี 2566 วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่พัฒนาทำความสะอาด กวาดลานวัด ปรับภูมิทัศน์ถนนข้างทาง


*******************************************

คอลัมน์ : สน.รอตรวจ
โดย : บิ๊กสลีป