“คนแอบรักมี 2 สถานะ คือรักเขาแต่เขาไม่รู้ กับเขารู้แต่เขาไม่รัก…มีสิทธิแค่ได้รัก ไม่มีสิทธิครอบครอง ทำได้แค่มอง ไม่มีสิทธิเดินร่วมทาง”

เมื่อช่วงเดือน ก.พ. ต้นปีที่ผ่านมา มีคดีอยู่คดีหนึ่ง ที่มีความอุกฉกรรจ์มาก เพราะมีการ บุกทำลายทรัพย์สิน ปิดวัด ปิดโรงเรียน แถมยังขับไล่เจ้าเจ้าอาวาสวัดอีกต่างหาก ซึ่งตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่ที่ประชาชนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นการใช้อิทธิพลอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย

หากยังจำไม่ได้ ขออนุญาตย้อนคดีนี้ให้ได้รับรู้ครั้ง เรื่องมันเริ่มจากในตอนนั้น มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลก่อเหตุรื้อกำแพงรั้ววัด ปิดทางเข้าออกของวัด และโรงเรียน พร้อมทั้งยังข่มขู่คุกคามขับไล่ พระราชปริยัติเวที เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หมู่ 3 ต.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช อยู่ในขณะนั้น

กำแพงรั้ววัดและโรงเรียนกลายเป็นซากปรักหักพัง ทำให้พระภิกษุ และชาวบ้าน รวมทั้งเด็กนักเรียนหลายร้อยคน เดือดร้อนอย่างหนัก ไม่สามารถนำรถหรือยานพาหนะทุกชนิดเข้าไปภายในวัดและโรงเรียนได้ ทางคณะสงฆ์และผู้บริหารโรงเรียน จึงไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.กะปาง อ.ทุ่งสง ให้ดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ก่อเหตุ 6 คน

กลุ่มคนกลุ่มนี้ ตัดต้นไม้ ทุบทำลายกำแพงวัด และนำเสาปูนมาปักกั้นพื้นที่ภายในวัด ให้เป็นของตัวเองโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมือง เป็นความผิดทางอาญา ทั้งบุกรุก และทำลายทรัพย์สินของทางราชการ พยานหลักฐานค่อนข้างชัดเจนมากๆ

กระทั่ง พระราชปริยัติเวที หรือเจ้าคุณเจือ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมกับศูนย์ดำรงธรรมอำเภอและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องเข้าไปประชุมแก้ปัญหาและสามารถตกลงกันได้ มีการทำบันทึกและทุกฝ่าย รวมทั้งตัวแทนคนกลุ่มนี้ ลงลายมือชื่อไว้อย่างเป็นทางการ โดยทางคณะสงฆ์ก็ไม่ติดใจเอาความ

แต่เมื่อเวลาผ่านมาเกือบ 2 ปี เมื่อเปลี่ยนเจ้าคณะจังหวัด เปลี่ยนนายอำเภอ และเปลี่ยน ผกก. ในพื้นที่ คนกลุ่มเดิมกลุ่มนี้ ก็กลับมาก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับวัด โรงเรียน และสังคมส่วนรวมอีกครั้ง กับการกระทำลักษณะนี้

ตอนนั้น พระราชปริยัติเวที มีความรู้สึกว่า การที่กลุ่มคนมาแสดงอิทธิพลแบบนี้ มันเป็นความผิดที่ตำรวจสามารถจัดการได้ แต่ตำรวจกลับมีข้ออ้างว่า กลัวเรื่องราวบานปลาย แบบนี้หากไม่ยึดข้อกฎหมายให้คนในสังคมอยู่ภายใต้กฎหมาย ปล่อยให้คนบางกลุ่มอยู่เหนือกฎหมายเช่นนี้ สังคมจะอยู่กันอย่างปกติสุขได้อย่างไร

คนกลุ่มนี้ก่อเหตุขนาดปิดการเข้าออกวัดและโรงเรียน แต่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกลับไม่กล้าแตะต้อง มันเป็นการปล่อยปละละเลย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุอ้างว่า ที่ทำไปนั้นเพราะวัดทำโน้นทำนี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เห็นด้วย กลุ่มคนกลุ่มนี้เลยใช้อำนาจเถื่อนมาทำการในลักษณะนี้

จากนั้นต่อมา พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนสั่งฟ้องถึงอัยการศาลจังหวัดทุ่งสง มีความเห็นสั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดทุ่งสงเช่นกัน โดยในการไต่สวนจำเลยทั้ง 6 คน และ ทั้งหมดก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์

ล่าสุด ศาลพิพากษาลงโทษความผิด ฐานเหยียดหยามศาสนา จำคุก 1 ปี ปรับ 20,000 บาท จำเลยทั้ง 6 รับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญากำหนด 3 ปี คุมประพฤติ 3 ปี กำหนดเงื่อนไขห้ามเข้าไปกระทำการรบกวนโจทก์ รวมทั้งวัด โรงเรียน และชุมชนอีก

นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องตัวอย่าง ที่ไม่ว่าคุณจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่สามารถอยู่เหนือกฎหมาย สร้างความเดือดร้อนให้กับศาสนสถาน หรือโรงเรียน หรือแม้แต่สังคมส่วนรวมได้ตามอำเภอใจ ถือเป็นการจบคดีอิทธิพลไปอีกหนึ่งคดี.

ข่าวสารตำรวจ

ช่วยเหลือ ปชช.
พ.ต.อ.รัตนสุข คำวงศ์ ผกก.สภ.ชุมแพ จว.ขอนแก่น มอบหมายให้ ร.ต.อ.ประเวก พรมรอด รอง สวป.สภ.ชุมแพ ด.ต.ไพโรจน์ ตาปราบ ผบ.หมู่ (จร.) สภ.ชุมแพ พลขับรถยนต์ ออกปฏิบัติหน้าที่ตรวจการจราจรในเขตพื้นที่รับผิดชอบ หลังได้รับแจ้งมีรถยนต์ของประชาชนจอดเสียสตาร์ตไม่ติดบริเวณ หน้าอาบทอง รีสอร์ท จึงได้เข้าตรวจสอบ พบว่ารถสตาร์ตไม่ติดเนื่องจากแบตเตอรี่ไฟอ่อน จึงได้ให้การช่วยเหลือพ่วงแบตเตอรี่ จนสามารถเดินทางต่อไปได้

มอบถังน้ำ
บริษัทฮาร์ดแวร์เฮาส์ สาขาอมตะนคร จ.ชลบุรี สนับสนุนถังน้ำขนาด 2,000 ลิตร จำนวน 2 ถัง พร้อมซ่อมบำรุงแก้ไขถังน้ำเดิมที่มีความชำรุดเสียหาย เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ และประชาชนผู้มาใช้บริการได้ใช้น้ำที่สะอาด สร้างสุขอนามัยที่ดี สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป โดยมี พ.ต.อ.ชัยรัชช์กิตติ์ ชัยปฏิวัติ ผกก.สภ.พานทอง เป็นตัวแทนรับมอบ

เก่าไปใหม่มา
ภายหลังสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งโยกย้ายในระะดับรอง ผบช.-ผบก. 273 ตำแหน่ง มีผล พล.ต.ต.พงพิพัฒน์ ศิริพรวิวัฒน์ ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู ขยับไปนั่ง ผบก.ภ.จว.เลย ในขณะที่ พ.ต.อ.ศักดิ์ดา เหมือนโพธิ์ อดีต รอง ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู ก่อนขยับไปนั่งเป็น รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี คำสั่งนี้มีผลให้มานั่งในตำแหน่ง ผบก.ภ.จว.หนองบัวลำภู สำหรับ สภ.เมืองหนองบัวลำภู ภายใต้การกำกับดูแลพื้นที่ พ.ต.อ.เกียรติภูมิ สุวรรณไตรย์ ผกก.สภ.เมืองหนองบัวลำภู เชื่อมั่นในคณะกรรมการ กต.ตร.ชุดใหม่ นำโดยนายธีรยุทธิ์ เชาวน์จิรกิตติ์ ประธาน กต.ตร.สภ.เมืองหนองบัวลำภู พร้อมที่จะขับเคลื่อนศูนย์ควบคุมสั่งการ (SMART SAFETY ZONE) 4.0 พวกเหล่ามิจฉาชีพเตรียมตัว หากกระทำความผิดไม่รอดแน่ ตาสับปะรดทั่วเมืองหนองบัวลำภู เข้าท่าพร้อมให้กำลังใจคร้าบ

ซ้อมแผน ‘หนี ซ่อน สู้’
เมื่อเร็วๆนี้ นายชลธี ยังตรง ผวจ.ฉะเชิงเทรา เป็นประธานเปิดการซ้อมแผนเผชิญเหตุคนร้ายกราดยิงในที่สาธารณะ (Active Shooter) ห้างโรบินสันฉะเชิงเทรา เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ตามแผนรักษาความปลอดภัย โดยมี พ.ต.ท.เอกชลิต คำหริ่ง รอง ผกก.ป.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ นายประชา คล้ายสิงห์ ที่ปรึกษาตำรวจภูธรภาค 2/ประธาน กต.ตร.สภ.เมือง และคณะ กต.ตร. ร่วมสังเกตการณ์ โดยการซ้อมแผนครั้งนี้ เป็นการจำลองเหตุการณ์กราดยิงภายในห้างสรรพสินค้า จากนั้นจึงสอนวิธีการให้พนักงานในห้าง ‘หนี ซ่อน สู้’ ตามหลักสากลในการเอาชีวิตรอด และสาธิตเทคนิคการตอบโต้สถานการณ์ตามแผนเผชิญเหตุ เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ยุติสถานการณ์ความวุ่นวาย ที่ต้องดำเนินการให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุต ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการในจังหวัดฉะเชิงเทรา.

****************************

คอลัมน์ : สน.รอตรวจ
โดย : บิ๊กสลีป