ช่วงปี 62-64 เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเจอปัญหาโรคระบาด ทำให้หมูป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก บางฟาร์มตาย 45-50% บางฟาร์มตาย 100% ส่งผลทำให้ปริมาณหมูในประเทศขาดแคลน โดยราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มและหมูชำแหละปรับตัวขึ้นไปสูงมาก เนื่องจากราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มพุ่งขึ้นไปถึง กก.ละ 100 บาท ซึ่งในภาวะปกติราคาหมูเนื้อแดงชำแหละจะเป็น 2 เท่า ของราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มอยู่แล้ว เมื่อเจอปัญหาโรคระบาดจึงส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเกษตรกรผู้เลี้ยวหมูรายเล็ก รายย่อย และประชาชนผู้บริโภค

ตามมาด้วยปัญหา “หมูเถื่อน” ทะลักเข้ามาจากต่างประเทศ มาทำลายกลไกตลาดเนื้อหมูในไทย ลามไปยังเนื้อวัวเถื่อน เนื้อควายเถื่อน และกำลังมีปัญหา “ตีนไก่เถื่อน” ประดังเข้ามาอีก

“ข้าราชการ-นายทุน” มีเอี่ยวกับหมูเถื่อน

ทีมข่าว Special Report สนทนากับ “แหล่งข่าว” ในรัฐบาลให้ข้อมูลว่าปัญหาหมูเถื่อน เป็นปัญหาติดลมมาจากโรคระบาดหมู ส่งผลให้ราคาเนื้อหมูชำแหละปรับตัวขึ้นสูง กก.ละกว่า 200 บาท ประชาชนผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน จึงปล่อยให้มีการลักลอบขนหมูเถื่อนเข้ามาตามด่านชายแดน และทางท่าเรือ เพื่อหวังกดราคาเนื้อหมูในประเทศให้ต่ำลง แต่ไม่ได้คิดให้ละเอียดว่าเกษตรกรรายเล็ก รายย่อยที่เจอปัญหาหมูตายเพราะโรคระบาด แต่ตายไม่หมดฟาร์มก็ยังได้กลไกเรื่องราคาหมูที่ปรับตัวสูง มาชดเชยความเสียหาย

แต่เมื่อปล่อยปละละเลยให้มีหมูเถื่อนเข้ามา เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูเหล่านี้จึงเสียหาย 2 เด้ง คือ 1.หมูตายจากโรคระบาด 2.ราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มตกต่ำ จากกก.ละ 100 บาท ร่วงลงมาอยู่ที่กก.ละ 50-70 บาท เคยลงไปต่ำกว่ากก.ละ 50 บาท ผู้เลี้ยงต้องขาดทุนตัวละ 2,000-3,000 บาท

ปัญหาดังกล่าวไม่รู้จะแก้แบบไหน เนื่องจากปล่อยให้หมูเถื่อนทะลักเข้ามาแบบไม่มีการควบคุม จนผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการหมูเถื่อนซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง บางคนเกษียณไปแล้ว ร่วมกับผู้กว้างขวางในต่างจังหวัด ทำกันจนเลยเถิด! แบบย่ามใจ เนื่องจากเห็นช่องทางการทำรายได้จากการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนอย่างมหาศาล ปัญหาหมูเถื่อน ลามไปเนื้อวัวเถื่อน เนื้อควายเถื่อน หนักข้อขึ้น เนื่องจากจากมีข้าราชการใหญ่-นายทุน-ผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง

นายกฯบี้หนัก!ปล่อยหมูเถื่อนทะลักเข้ามา 7 แสนตัว

แหล่งข่าวในรัฐบาลกล่าวต่อไปว่า เมื่อมีรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือนก.ย.66 จึงเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก เรื่องหมูเถื่อนที่วนเวียนอยู่ในกรมศุลกากร และกรมปศุสัตว์ กลายเป็นทำเนียบรัฐบาลมาเป็นเจ้าภาพเรื่องหมูเถื่อนเสียเอง เพราะนายกรัฐมนตรีลงมากำกับสั่งการเอง และตามจี้ทุกสัปดาห์

“เรื่องมาแดงโร่ ตอนมีการอายัดเนื้อหมูเถื่อน 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งดีแคลร์ว่าเป็นอาหารทะเล แล้วปล่อยคาราคาซังกันไว้ จนนายกฯต้องตามจี้ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าคดีมีความคืบหน้าไปถึงไหน ออกหมายจับใครบ้าง กี่คน เพราะเรื่องนี้ต้องให้ดีเอสไอทำงาน เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ ในขณะที่กฎหมายของกรมปศุสัตว์มีโทษไม่หนัก”

เมื่อเจอนายกฯตามจี้แบบนั้น แค่สัปดาห์เดียวดีเอสไอขอหมายจับไป 5 ราย จากการขยายผลทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหา ลักลอบนำเข้าตู้คอนเทนเนอร์หมูเถื่อนมากกว่า 2,300 ตู้ มูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท โดยจำแนกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มบริษัทขนส่งนำเข้า กลุ่มนายทุน และกลุ่มห้องเย็นทั่วประเทศ ถ้าเอาจำนวน 2,300 ตู้ คูณด้วย 25 (ตู้ละ 25 ตัน) คิดเป็นหมูเถื่อน 57,500,000 กก. และถ้าคิดออกมาเป็นตัวอยู่จะที่ประมาณ 700,000 ตัว เป็นตัวเลขหมูเถื่อน 700,000 ตัว ทะลักเข้ามาในประเทศไทย

นายทุนโดนยึดทรัพย์แน่!ภายในเดือนพ.ย.66ชัดเจน!

แต่วันนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานหนัก เพราะนายกฯเศรษฐาตามจี้ทุกสัปดาห์ เนื่องจาก 1.ผู้ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมีชื่อชัดเจน 11 บริษัท 2.กรมศุลกากร ต้องยอมให้กรมปศุสัตว์-กรมประมง เข้าไปตรวจสอบสินค้านำเข้าตามที่มีเบาะแส

3.ดีเอสไอ-สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ต้องทำงานอย่างรวดเร็ว ชัดเจน ตรงไปตรงมา ซึ่งเรื่องนี้ในรอบแรกมีการจับกุม “นอมินี” และมีการขยายผลไปยัง “นายทุน” ผู้อยู่เบื้องหลัง โดยปปง. กำลังพิจารณาเรื่องการยึดทรัพย์สินของนายทุน คาดว่าภายในเดือนพ.ย.นี้ จะมีความชัดเจนเรื่องการยึดทรัพย์ออกมา ส่วนกลุ่มที่ 3 คือพวก “ห้องเย็น” รัฐบาลให้โอกาสห้องเย็นรีบออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ รีบปล่อยของกลางออกมา และอาจถูกกันไว้เป็นพยาน

4.ตอนนี้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์-ตำรวจ-ผู้ว่าราชการจังหวัด ออกตรวจสอบจับกุมหมูเถื่อน วัวเถื่อน ควายเถื่อนกันอย่างหนัก จับกุมแล้วต้องรายงานให้นายกฯทันที ถ้าจับกุมแล้วไม่รายงาน อาจเข้าข่ายเปิดช่องให้มีการวิ่งเต้นกัน

5.เมื่อกลัวว่าจะถูกตรวจสอบจับกุม จึงมีการเทหมูเถื่อนออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้หมูเป็นหน้าฟาร์มตกลงไปเหลือราคา กก.ละ 50 บาท แล้วค่อยๆ ปรับขึ้นมายืนที่กก.ละ 55 บาท ราคาแบบนี้ผู้เลี้ยงหมูขาดทุน เนื่องจากต้นทุนคือกก.ละ 70-75 บาท

เจอปัญหา “ตีนไก่” สวมสิทธิ์ส่งออกไปจีน

แต่ปัญหาคือหมูเป็นหน้าฟาร์มเหลือ กก.ละ 55 บาท หมูเนื้อแดงชำแหละก็ควรปรับลงมาตามกลไกตลาดที่ กก.ละ 110 บาท แต่สภาพความจริงไม่เป็นแบบนั้น เพราะหมูเนื้อแดงยังสูงกว่า กก.ละ 110 บาท ไม่ยอมปรับลงตามราคาหมูเป็น ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์ต้องเข้าไปดูราคาหมูเป็น กับหมูชำแหละให้สอดคล้องกัน

“ปัญหาหมูเถื่อน ถ้าคนที่อยู่บนสุดไม่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่เอาจริงเอาจัง ปัญหาจะไม่บานปลาย แต่ที่เกิดเพราะปล่อยกันเข้ามา แล้วติดลมบนมองเห็นผลประโยชน์มหาศาลจึงไม่ยอมหยุด ถ้าคิดหมูเถื่อนเป็นตัวๆ คือ 700,000 ตัว ไม่น้อยเลย นอกจากหมูเถื่อนยังมีวัวเถื่อน ควายเถื่อน เล็ดลอดเข้ามาทางชายแดนภาคตะวันตก รวมทั้งตีนไก่ เนื่องจากประเทศจีนเลี้ยงไก่ได้ตีนไก่ไม่พอคนกิน คนจีนกำลังนิยมกินตีนไก่เป็นอาหารหลักและเป็นของกินเล่น แต่โรงงานในไทยที่จะส่งตีนไก่ไปจีนต้องมีใบรับรองมาตรฐาน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 โรงที่ได้มาตรฐาน ส่วนอีก 6 โรง ยังไม่ได้มาตรฐาน จึงมีการลักลอบสวมสิทธิ์ เพราะต้องการส่งออกตีนไก่ที่มีออร์เดอร์ข้ามปี” แหล่งข่าว ระบุ