แฟนๆ ที่ดูฟุตบอลมานานหลายสิบปีน่าจะรู้สึกเหมือนกันว่า ฟุตบอลสมัยนี้มีความแตกต่างจากอดีตสัก 20-30 ปีก่อนแบบคนละเรื่อง โดยเฉพาะในอังกฤษที่อดีตเรามักคุ้นเคยกับแผนการเล่น 4-4-2 หลายทีมมีสูตรสำเร็จใช้แผนสาดยาวบอมบ์ไปข้างหน้า กองหน้าสูงใหญ่เป็นตัวชง และอีกคนอาจรูปร่างเล็กกว่าแต่คล่องแคล่วเป็นตัวเข้าทำ

แต่สมัยนี้รูปแบบที่นิยมมักเป็น 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 แล้วแต่จะเรียก ส่วนมากใช้กองหน้าเพียงคนเดียว และผู้เล่นปีกแท้ๆ ในสมัยก่อนกลายเป็นกองหน้าตัวริมเส้น มิหนำซ้ำคนที่ถนัดเท้าซ้ายจะยืนขวา ส่วนคนถนัดเท้าขวาจะยืนซ้าย

อย่างไรก็ตามตำแหน่งที่มีการพัฒนาการมากที่สุด เป็นตำแหน่งไหนเสียมิได้นอกจาก “ฟูลแบ็ก” และบุคคลที่ริเริ่มนวัตกรรมใหม่นี้มาใช้จนแพร่หลายไปทั่วก็คือ เปป กวาร์ดิโอลา

ในอดีตภารกิจหลักของฟูลแบ็กคือเกมริมเส้น ไม่ว่าป้องกันหรือขึ้นเกมรุกสนับสนุนปีก แต่ปัจจุบันนี้อีกบทบาทของ ฟูลแบ็ก คือหน้าที่มิดฟิลด์ตรงกลาง ทั้งในระหว่างเล่นในแดนตัวเอง และมีส่วนช่วยในการขึ้นเกมบุก

จอห์น สโตนส์, โอเลกซานเดอร์ ซินเชนโก และเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีหน้าที่ที่เปลี่ยนไปแทบจำไม่ได้เมื่อเทียบกับ สมัย แกรี เนวิลล์ และ แอชลีย์ โคล คุมด้านข้าง

ฟิลิปป์ ลาห์ม เป็นหนึ่งในผู้เล่นกลุ่มแรก ๆ ที่ถูกใช้เป็น “อินเวิร์ต ฟูลแบ็ก” โดยมี เปป เป็นผู้บุกเบิกเทรนด์นี้ในปี 2013 เขาเล่าว่าเปปตีความตำแหน่งฟูลแบ๊กขึ้นมาใหม่ ถ้าเป็นเกมบุกสามารถช่วยตรงกลางและเปิดบอลด้านข้าง พอถึงเกมรับก็เป็นการไล่ปิดพื้นที่คู่แข่งให้เหลือน้อยที่สุด ไม่ว่าแย่งการครองบอลและทำเกมบุก กองกลางฟูลแบ็กจะเปลี่ยนกองกลางสามคนในระบบ 4-3-3 กลายเป็นกองกลางสี่คนในรูปแบบ 3-2-2-3

แต่ละทีมยังดัดแปลงฟูลแบ็กให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น ซินเชนโก ที่มีเทคนิคดี จ่ายบอลสั้นดีจะถูกมอบหมายให้เป็นตัวช่วยครองเกมและเปิดบอล เช่นเดียวกับ เทรนต์ กลายเป็นตัวเปิดบอลจากแนวลึกเข้าสู้พื้นที่สุดท้ายและยังยิงแถวสองได้มีประสิทธิภาพ

ขณะที่ อังเก ปอสเตโคกลู กุนซือผู้ชอบเกมบุก เขยิบขึ้นไปอีกขั้น เพราะให้แบ็กทั้งสองฝั่งหุบเข้าในพร้อมกัน เปลี่ยนแผนจาก 4-3-3 กลายเป็น 2-3-5 ตอนขึ้นเกมบุก ผลลัพธ์นั้นทำให้สเปอร์กลายเป็นทีมที่ดันสูง บุกแหลก ทำประตูได้เยอะ

และน่าติดตามว่าอนาคตจะมีนวัตกรรมฟุตบอลเปลี่ยนโลกแบบไหนออกมาอีก.