ทีมชาติไทย มีโปรแกรมลงทำศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ 2023 รอบแรก นัดสุดท้าย ในกลุ่ม F พบกับ ทีมชาติซาอุดีอาระเบีย ในวันพฤหัสบดีที่ 25 ม.ค. 67 เวลา 22.00 น. ตามเวลาบ้านเรา

ทั้ง ไทย และ ซาอุฯ การันตีการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ 16 ทีมสุดท้ายแน่นอนแล้ว แต่จะเข้าไปเจอกับใคร ผลการแข่งขันนัดนี้ จะเป็นผู้ให้คำตอบ

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ผลงานของทีม “ช้างศึก” 2 นัดก่อนหน้านี้ ชนะ คีร์กีซสถาน 2-0 และเสมอ โอมาน 0-0 มี 4 คะแนน

ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย ที่คุมทีมโดย โรแบร์โต มันชินี อดีตกุนซือทีมชาติอิตาลี ชนะ 2 เกมรวด เริ่มด้วยการเฉือน โอมาน 2-1 และชนะ คีร์กีซสถาน ที่เหลือ 9 คน 2-0 มี 6 คะแนนเต็ม

ไทย-ซาอุฯ ใครชนะ จะเข้ารอบเป็นที่ 1 ของกลุ่ม แต่ถ้าหากเสมอ ซาอุฯ จะเข้าเป็นที่ 1 ส่วน ไทย ต้องไปลุ้นว่าจะเข้าเป็นที่ 2 หรือ 3 กับ โอมาน ที่จะเจอกับ คีร์กีซสถาน ในเวลาเดียวกัน

ก่อนเชียร์ไทยในเกมนี้ “กีฬาเดลินิวส์” นำเสนอบทวิเคราะห์จุดแข็ง-จุดอ่อน ของซาอุดีอาระเบีย โดยแบ่งเป็น 5 ข้อย่อยให้อ่านกันง่ายๆ

1) ฟอร์เหมือนจะดี แต่ยังไม่ดี
ลูกทีมของ “มันโช” ทำทุกอย่างได้ตามเป้าหมาย 2 เกมแรก เก็บ 6 แต้มเต็ม ผ่านเข้ารอบแบบสบายๆ ส่งผลดีต่อเกมสุดท้ายของรอบแรกกับไทย ที่สามารถพักตัวหลักไว้ลุยในรอบ 16 ทีมได้เต็มที่

แต่แฟนบอล และสื่อเมืองเศรษฐีน้ำมัน ต่างวิเคราะห์ตรงกันว่า ถ้าหากดูรูปเกมของ ซาอุฯ จริงๆแล้ว ยังมีหลายอย่างที่ไม่ลงตัว และต้องปรับกันอีกเยอะ ถ้าหากต้องการไปไกล

อีกอย่างคือ ในฐานะทีมเต็งอย่าง ซาอุฯ แล้ว รอบแรก ก็เป็นแค่เกมอุ่นเครื่อง ที่ยังไงก็ต้องผ่านอยู่แล้ว ของจริงคือรอบน็อกเอาต์ต่างหาก ที่จะใช้ประเมินว่าทีมทำผลงานดีแค่ไหน

ดังนั้นของจริงสำหรับ มันชินี และซาอุดีอาระเบีย ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

โรแบร์โต มันชินี

2) ขาดความเข้มข้นในเกมรุก
ในเกมนัดที่ 2 กับ คีร์กีซสถาน นั้น คู่แข่งเหลือผู้เล่นแค่ 9 คน แต่ ซาอุฯ ก็ยังไม่สามารถดาหน้าเปิดเกมรุกเข้าถล่มจนยิงประตูเป็นกอบเป็นกำได้

มันชินี บอกหลังเกมว่า ไม่ค่อยชอบที่คู่แข่งเหลือผู้เล่นน้อยกว่า เพราะลงไปตั้งรับกันหมด อยากให้มี 11 คนเท่ากัน แต่ในความเป็นจริง ด้วยคลาสของ ซาอุฯ กับ คีร์กีซฯ ยังไงก็ต้องดีกว่านี้

มันแสดงให้เห็นถึงเกมรุกของยอดทีมจากตะวันออกกลาง ที่ยังไม่เข้าที่ ขาดความเข้มข้น และไม่มีความเด็ดขาด ที่สำคัญหรือดูเหมือนไร้พลังงาน และจินตนาการ อีกยังขาดความกระตือรือร้นไปหน่อยด้วย

ซาอุฯ เปิดเกมรุกอยู่ฝ่ายเดียวก็จริง แต่ดูตื้อตัน ไร้ไอเดีย และแผนการเข้าทำ เปิดพื้นที่ไม่ได้ สร้างสรรค์เกม และโอกาสได้น้อยกว่าที่ควร

แน่นอนว่า เกมรุกต้องดีกว่านี้อีกเยอะ ถ้าหากหวังถึงรอบลึกๆ

3) โมฮาเหม็ด คานโน ขึ้นมากอบกู้ทีม
ถึงเกมจะดูตื้อๆ แต่ โมฮาเหม็ด คานโน มิดฟิลด์จากอัล ฮิลัล คือคนที่ขึ้นมาโดดเด่น และเป็นผู้กอบกู้ทีมขนานแท้ แถมยังยิงประตูแรกให้ทีมขึ้นนำได้ด้วย

คานโน วัย 29 ปี ติดทีมชาติมานาน และพัฒนาจนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในแดนกลาง และสามารถประคับประคองรุ่นน้องในทีมที่ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ได้

ซาอุฯชุดนี้ มีดาวรุ่งที่น่าสนใจอย่าง อับดุลรามาน การีบ และ ไฟซาล อัล กัมดี ซึ่งน่าจะมีโอกาสลงเจอไทย และช้างศึกต้องระวังให้ดี

ขณะที่ มันโช ก็พร้อมให้โอกาสพวกดาวรุ่งลงสนามอยู่แล้ว ยิ่งเป็นเกมที่เข้ารอบแล้วแบบนี้ อาจจะเห็นหลายคน แต่แน่นอนว่าจะมี คานโน คอยเป็นพี่เลี้ยง คอยประคองอยู่

4) ซาเล็ม อัล ดอวซารี ยังไม่ท็อปฟอร์ม
ซาเล็ม อัล-ดอวซารี คือความหวังในเกมรุกของ ซาอุดีอาระเบีย แต่ในเอเชียนคัพ ครั้งนี้ เจ้าตัวยังไม่ท็อปฟอร์มสักเท่าไหร่ ยังหาพื้นที่ว่างและโอกาสยิงได้น้อย

การเคลื่อนที่ และจ่ายบอลก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติ มันจึงไม่น่าแปลกใจที่จะถูก มันชินี เปลี่ยนตัวออกหลังเกมผ่านไปราว 1 ชั่วโมง เพื่อให้คนที่สดลงมาแทน

แต่มันก็น่าสังเกตตอนที่ เจ้าตัวเดินออกจากสนาม ที่ดูไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ ซึ่งไม่รู้ว่าหงุดหงิดเพราะฟอร์มส่วนตัวหรือเพราะโดนเปลี่ยนกันแน่

ถ้าหากว่า ซาอุฯ จะไปได้ไกล หรือประสบความสำเร็จ ทุกคนรู้ว่า อัล ดอวซารี ต้องเล่นดีกว่านี้

ปฏิวัติ คำไหม โกล์ทีมชาติไทย

5) ไม่ใช่ทีมเต็ง แต่ยังไงก็ต้องหวัง
มันโช รีบออกตัวหลังเกมชนะ คีร์กีซสถาน ว่า ซาอุฯของเขาไม่ใช่ทีมเต็งแชมป์ในครั้งนี้ โดยยกให้ เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, อิหร่าน และ ออสเตรเลีย มีโอกาสมากกว่า

แต่ในรอบแรก ต้องยอมรับว่าทีมเต็งหลายทีม ยังทำผลงานได้ไม่เข้าที่เข้าทาง ทั้งเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ไม่สามารถชนะรวดใน 2 เกมแรก ขณะที่ อิหร่าน ก็ชนะทีมอย่าง ฮ่องกง แค่ 1-0

ดังนั้น ยังเร็วอยู่มากที่จะพูดถึงแชมป์ ตอนนี้ อะไรก็ยังเกิดขึ้นได้ แม้ มันโช จะพูดเพื่อลดความกดดันให้ตัวเอง และลูกทีม แต่แน่นอนว่า ชาวซาอุฯ หวังว่าทีมจะไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

และถ้าหากทำไม่ได้ ก็มีแต่เขาเท่านั้นต้องรับผิดชอบ.

มาซาทาดะ อิชิอิ โค้ชทีมชาติไทย