วันนี้ คอลัมน์ตรวจการบ้าน” ต้องมาสนทนากับ “ชัยธวัช ตุลาธน”หัวหน้าพรรคก้าวไกล  จะมาบอกเล่าถึงแนวทางการต่อสู้ในสนามการเมือง และยุทธศาสตร์การก้าวเดินต่อไปของพรรคก้าวไกล ท่ามกลางสมรภูมินิติสงครามที่ไม่เคยจบสิ้น  

โดย “เดอะต๋อม ชัยธวัช” เปิดประเด็นถึงคดีคดียุบพรรครออยู่ข้างหน้ากับยุทธศาสตร์ที่เป็นก้าวใหม่ของพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้ยังไม่รู้ว่าจะโดนยุบพรรคหรือเปล่า แต่สิ่งที่ทำอยู่แล้วก็ คือ พรรคก้าวไกลต้องสร้างระบบพรรคให้เข้มแข็งขึ้น จากฐานรากขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นพวกระบบทีมงาน อาสาสมัครของของพรรคแต่ละจังหวัด  ยุทธศาสตร์ที่สำคัญนอกจากการเตรียมเลือกตั้งคราวหน้าก็คือ “การทำให้ระบบภายในพรรคเข้มแข็ง” ต่อให้เราเผชิญสถานการณ์ยุบพรรค เราก็คิดว่าเราพร้อมเผชิญหน้าทุกสถานการณ์ เพราะเราเชื่อว่า ถ้าระบบภายในเข้มแข็งจะเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนพรรคต่อไป  

@ จากนี้จะวางแนวทางอย่างไรไม่ให้ติดกับดักตัวเอง เพราะความเป็นเด็ก และสามารถบริหารประเทศได้หากชนะการเลือกตั้งรอบหน้า

ผมคิดว่าต้องแยก 2 เรื่อง ประเด็นแรกในเรื่องความเป็นเด็กหรือคนอาจจะมองว่า หัวชนฝา ใจร้อน และทำให้พรรคมีปัญหา ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาของระบบการเมืองไทยมากกว่า  เพราะว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลเผชิญในหลายมิติในหลายปรากฏการณ์ก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ พรรคไทยรักไทย เพื่อไทย  พลังประชาชน เคยเจอมาก่อน ดังนั้นไม่ได้เกี่ยวกัน ไม่ได้หมายความว่าพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน หรือพรรคเพื่อไทยเป็นเด็กหรือเปล่า แต่เป็นปัญหาของระบบการเมืองไทยที่มันยังอยู่ในวงวนความขัดแย้งมาเกือบ  20 ปี และยังหาจุดลงตัวไม่ได้

พรรคก้าวไกลเข้ามาเป็นตัวแสดงใหม่ ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่ใช่เพราะว่าพรรคก้าวไกลเราถูกกระทำเพราะเราเป็นเด็ก แต่แน่นอนเราเป็นหน้าใหม่ ตัวแสดงใหม่ในทางการเมือง ซึ่งมีวิธีคิดและวิธีการทำงานที่ต่างออกไปจากพรรคการเมืองที่มีมาก่อน ในบางเรื่องก็อาจจะยังไม่ได้เป็นที่คุ้นเคยกับการเมืองไทยมากนัก แต่ผมคิดว่าต่อไปในอนาคตสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำก็อาจเป็นบรรทัดฐานใหม่ก็ได้

ประเด็นสอง ผมคิดว่ายิ่งประชาชนคาดหวังกับพรรคก้าวไกล ก็ยิ่งทำให้พรรคต้องมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่สังคมคาดหวังมากยิ่งขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญมากก็ คือ พรรคก้าวไกลต้องเตรียมพร้อมที่จะบริหารประเทศให้ได้จริงๆ เมื่อประชาชนให้โอกาส ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งครั้งถัดไปหรือหลังจากนั้น เพราะว่าเมื่อความคาดหวังมีสูง เมื่อเรามีโอกาสแล้ว เราอาจจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลยก็ได้ ถ้าไม่สามารถทำงานได้บรรลุในสิ่งที่ประชาชนคาดหวังได้  สิ่งสำคัญมากตอนนี้ ซึ่งทำอยู่และเป็นภารกิจสำคัญ อย่างที่ผมบอกว่าเป็นงานฝ่ายค้านเชิงรุกก็ คือ การเตรียมทีมงาน บุคลากรของพรรคให้พร้อมที่จะบริหารประเทศให้ได้จริงๆ ให้ประชาชนวางใจได้ว่าถ้ามีรัฐบาลที่นำโดยพรรคก้าวไกล จะเป็นรัฐบาลที่วางใจและฝากอนาคตไว้ในมือได้

นโยบายหลักที่พรรคก้าวไกลเสนอส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบและโครงสร้าง ซึ่งต้องใช้ระยะเวลา ไม่ใช่ทำรวดเดียวจบ ออกกฎหมาย หรือมติ ครม.แล้วจบ  จะมีแรงเสียดทาน การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี มักมีแรงเสียดทาน สส.ของพรรคจึงต้องเข้าใจว่า การผลักดันอะไรแต่ละเรื่องแรงเสียดทานจะอยู่ตรงไหน แล้วจะหาวิธีในการลดแรงเสียดทาน การยอมรับ หรือความเห็นพ้องอย่างไร อีกทั้งเรื่องที่จะผลักดันแต่ละเรื่องจะมีช่วงเปลี่ยนผ่านของมัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญที่สุด ในช่วงเปลี่ยนผ่านต้องรู้ว่า จะทำอะไรก่อนหลัง

@ กรณีมาตรา 112 เราจะเดินอย่างไรเพื่อไม่ให้สะดุดขาตัวเองอีกในอนาคต

มีหลายๆ เรื่องที่คนจำนวนมากก็เข้าใจและอาจจะเห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลหรืออนาคตใหม่เสนอด้วยซ้ำ แต่ก็มักจะคิดว่าเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะพูดหรือผลักดัน อันนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาในเชิงการมองยุทธศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเห็นภาพที่ไม่ตรงกันมากกว่า คำถามก็คือว่าหลายเรื่องที่เราพูด เรารู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถทำได้ง่าย และอาจจะใช้เวลากว่าสังคมจะสุกงอมและมีความพร้อม แต่อย่างไรก็ตามเรายังเลือกที่จะพูด เป็นการมองยุทธศาสตร์ในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะมองคนละภาพกัน

ทำไมจึงแบบนั้น ถ้าติดตามตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มา เราให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกกว่าการทำงานทางความคิดหรือการปักธงทางความคิด มันต้องเริ่มทำงานความคิดทำความเข้าใจกับสังคมก่อน เพราะเมื่อสังคมมีความเข้าใจแล้วเท่านั้นถึงจะทำได้ ถ้าเราทำงานการเมืองแล้วเราไม่ทำงานความคิดกับสังคมให้เข้าใจพร้อมกัน เมื่อคุณมีอำนาจคุณก็ไม่กล้าทำ และคุณก็ทำไม่ได้ แต่เมื่อเราสื่อสารกับสังคม เราอาจจะหาจุดลงตัว ที่พอดีสำหรับบริบทของสังคมไทยไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

ที่ผ่านมาเราสรุปบทเรียนมาก่อน ตอนที่เราเริ่มคิดทำพรรคการเมือง ก่อนมาเป็นพรรคอนาคตใหม่ เราสรุปจากบทเรียนจากพรรคไทยรักไทยด้วย ผมคิดว่าบทเรียนหนึ่งก็คือว่าพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งชนะเลือกตั้งตลอด มีสส.200-300 กว่าเสียงมาตลอด แต่ไม่สามารถผลักดันอะไรได้จริงๆ เพราะคิดแต่ที่จะชนะเลือกตั้งจะมี สส.ให้ได้มากที่สุดอย่างไร แต่ไม่เคยชนะนอกสภา ดังนั้นเมื่อชนะแต่การเลือกตั้ง แต่ไม่เคยชนะทางความคิดนอกสภาเลย มี 300 เสียงก็อยู่ไม่ได้ พรรคก้าวไกลไม่ได้คิดแบบนั้น เราไม่ได้คิดว่า เราจะมี 200-300 เสียง พรรคอนาคตใหม่เราคิดว่ามี 40-80 เสียง เราต้องอดทนในการทำงาน ผมคิดว่าการเมืองควรจะเป็นอย่างนั้น พรรคการเมืองควรจะแข่งขันหรือสร้างความแตกต่างด้วยการเสนอแนวคิดทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมที่ต่างกัน แล้วประชาชนก็จะเป็นคนตัดสินว่าเขาเชื่อหรืออยากจะผลักดันในเฉดความคิดแบบไหน

@ การสังเวยด้วยคดี 112 ในศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นวิธีการปักธงไปสู่เป้าหมายหรือไม่

ผมต้องพูดก่อนว่า จริงๆ แล้ว มาตรา 112 ไม่เคยเป็นนโยบายเรือธงของเรามาก่อน สมัยอนาคตใหม่ก็ไม่ใช่ สมัยก้าวไกลตอนแรกก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ เรื่อง 112 ผมยังยืนยันอีกครั้งว่า แม้ว่าในการเลือกตั้งครั้งหลังสุด เรามีนโยบายในการแก้ไขมาตรา 112 จริง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เป็นนโยบายหลักที่สุดของพรรคก้าวไกล เพียงแต่ว่า พอนำเสนอมาแล้ว 300 นโยบาย มีนโยบายที่เด่นๆ เป็นเรือธงมีอีกเยอะ ปรากฏว่าสื่อมวลชนเวลาขึ้นเวทีดีเบต ก็จะให้ความสนใจเรื่องนี้เยอะ หรือถูกหยิบยกมาพูดมาเขียนกันเยอะ หรือในทางกลับกันพรรคการเมืองอื่นๆ ก็พยายามหยิบเรื่องนี้ มาพูดในเวทีดีเบตเพื่อหวังว่าจะทำลายความนิยมของพรรคก้าวไกลด้วยซ้ำ  เพื่อสร้างภาพว่าพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่น่ากลัว

ดังนั้นกรณี 112 ไม่ได้เหมือนกับนโยบายที่เราวางไว้ว่าจะเริ่มทำงานทางความคิด แต่ 112 เกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เป็นจริงมากกว่า ปัญหาการบังคับใช้กฎหมายไม่ใช่เพิ่งจะมีการพูดถึงกัน ในแวดวงวิชาการหรือนักสิทธิมนุษยชนก็พูดถึงเรื่องนี้เป็นบางช่วง โดยเฉพาะช่วงที่มีปัญหาเยอะ ๆ ซึ่งรอบหลังสุดที่พูดถึงกันเยอะก็ตั้งแต่ช่วงปลายปี 63-64 หลังจากที่มีการเคลื่อนไหวชุมนุมและเรียกร้องของคนรุ่นใหม่ในประเด็นที่เกี่ยวกับสถาบันฯ เรื่อง 112 ก็กลับมาอีก เพราะมีการแจ้งความดำเนินคดีในมาตรา 112 เยอะมากเป็นประวัติการณ์เลยก็ว่าได้  จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ สส.ก้าวไกลถกเถียงกันและนำไปสู่การเสนอร่างแก้ไขปรับปรุงกฎหมายมาตรา 112 โดยที่ สส.ไม่คิดว่าจะใช้เรื่องนี้ในการหาเสียงหรือหาคะแนน แต่ว่าจะถูกด่าและจะเสียความนิยมด้วยซ้ำ แม้กระทั่งจากกลุ่มที่เคยเลือกพรรคอนาคตใหม่ แต่สุดท้าย สส.ส่วนใหญ่ก็คิดว่าในฐานะเป็น สส.ไม่ควรทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะต่างกับกรณีอื่นที่เราบอกว่าวางนโยบายเรือธงเอาไว้ แล้วเราเริ่มทำงานทางความคิด อันนั้น คือ คิดไว้ตั้งแต่แรก แต่นี่เป็นไปตามสถานการณ์ทางการเมือง.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่