กึ่งปิดเมือง ล็อกกิจการ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอก 4 ถือว่ากินเวลานานต่อเนื่องหลายเดือน ล่าสุดสถานการณ์อยู่ในจุดควบคุมได้จนขยับคลายความเข้มงวด  ผู้คนกลับมาใช้ชีวิต ทำกิจกรรมเป็นปกติ แถมเร็วๆนี้จะยิ่งผ่อนคลายขึ้นอีกจากเป้าหมายเปิดประเทศ

นับเป็นเรื่องดีก็จริง แต่ภายใต้โรคระบาดที่ไม่ไปไหน  นอกเหนือมาตรการ“สาธารณสุข”ที่ต้องกวดขัน วางแผนตั้งรับคนในประเทศที่จะออกมาใช้ชีวิตมากขึ้น และชาวต่างชาติที่จะเริ่มเปิดรับกลับมา  การกวดขันมาตรการทาง“กฎหมาย”ทั้งในลักษณะเฝ้าระวัง สกัดกั้น ไปจนถึงปราบปรามก็จำเป็นต้องเข้มขึ้น

โดยเฉพาะพฤติกรรม“มั่วสุม”ที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาด“ซ้ำ”ควรยกระดับวางแผนสอดรับการผ่อนคลายท่ามกลางความปลอดภัยควบคู่กันไป หลังเริ่มปรากฏสัญญาณต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว  เพราะโควิดมีโอกาสกลับมาได้ทุกเมื่อ

ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้การแพร่ระบาดเพียงคลัสเตอร์เดียว สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทั้งประเทศได้มากแค่ไหน ไม่ว่าจะสถานบันเทิง บ่อนการพนัน  ไปจนถึงงานบุญ

ยกตัวอย่าง เฉพาะช่วงเดือน ต.ค. เพียงเดือนแรกของการผ่อนคลายกิจกรรม และเวลาเคอร์ฟิว พบการลักลอบมั่วสุมที่สุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดโควิดเป็นคลัสเตอร์ได้

กรณีแรกเกิดขึ้นกลางดึกคืน วันที่ 9 ต.ค. ตำรวจ กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.) ร่วมกับตำรวจสน.วังทองหลาง เข้าตรวจสอบสถานบริการชื่อดัง“ฟารอส ซาวน่า” หลังรับแจ้งมีการมั่วสุมเปิดเป็นบาร์เกย์  การตรวจค้นพบกลุ่มนักเที่ยวรวมตัวลักษณะมั่วสุมบริเวณห้องโถง  สามารถจับกุมเจ้าของร้านพร้อมนักเที่ยวได้ 10 คน ของกลางมีทั้งยาเสพติดและยาปลุกเซ็กซ์ 

ที่น่าสนใจคือสถานบริการแห่งนี้เพิ่งตกเป็นข่าวดังไปหยกๆ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา หลังชาวบ้านแจ้งเบาะแสทลายปาร์ตี้มั่วสุมเสพยาเสพติด สุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด ครั้งนั้นเฉพาะนักเที่ยวถูกส่งตัวดำเนินคดี 59 คน 

อีกกรณีเกิดขึ้นพื้นที่ อ.หนองแค จ.สระบุรี ตำรวจภูธรจังหวัดสระบุรี ร่วมกับ สภ.หนองแค นำกำลังปิดล้อมตรวจค้นผับดัง รวบนักเที่ยวชาย-หญิงได้กว่า 200 คน หลังรับแจ้งมีวัยรุ่นมั่วสุมเสพยาเสพติด เปิดเพลงเสียงดัง ผลการตรวจสอบพบปัสสาวะสีม่วงนับร้อย  และบางส่วนมีผลตรวจพบเชื้อโควิดซึ่งไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดา และลุ้นต่อว่าจะมีนักเที่ยวกลุ่มนี้ติดเชื้อเพิ่มจนกลายเป็นคลัสเตอร์ใหม่หรือไม่

อย่างไรก็ตาม ความน่ากังวลกรณีนี้ก็เหมือนกับกรณีแรก  เพราะเป็นสถานบริการที่เคยถูกตรวจค้นจับกุมมาก่อน สถานบริการแห่งนี้เองก็เคยถูกเข้าค้นช่วงม.ค.ที่ผ่านมา และ3 ปีก่อนก็เคยถูกสั่งปิด แต่ก็ยังมีพฤติกรรมเปิดให้มั่วสุมแบบเดิมๆ

ดังนั้น ทั้งสองกรณีสะท้อนว่าท่ามกลางบรรยากาศที่ยิ่งผ่อนคลาย  กฎหมายยิ่งต้องเข้มงวด!!!!

สถานการณ์ปัจจุบันแม้เป้าหมายหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ แต่แผนฟื้นฟูครั้งนี้ไม่ง่าย  หากไม่อยากให้เสียของ ต้องปิดๆเปิดๆ เพราะโรคระบาดอีกครั้ง

หลังจากนี้ไม่สามารถมองเพียงมิติใด มิติหนึ่ง เพียงด้านเดียว

ต้องยอมรับและตระหนักว่าโควิดคือ“จุดเปลี่ยน”เป็น“ตัวแปร”ส่งผลกระทบถึงกันหมด ไม่ว่าจะสุขภาพ  เศรษฐกิจ  หรือสังคม  

รอบนี้การบังคับใช้กฎหมายเพื่อสกัดจุดอ่อน  ปิดช่องโหว่  จึงต้องเฉียบขาด เบาะแสจากชาวบ้านสำคัญ  แต่ข้อมูลในมือก็ต้องใช้ แหล่งมั่วสุมหลบๆซ่อน ๆ หน้าฉากอย่าง  หลังฉากอีกอย่าง  อย่าทำเป็นไม่รู้  ไม่เห็น จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ให้คนทั้งประเทศต้องรับผิดชอบ    

บทบาทสอดส่อง ควบคู่บังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในมือตำรวจจึงสำคัญมากในห้วงเปิดประเทศหลังจากนี้. 

ทีมข่าวอาชญากรรมรายงาน

[email protected]