เรื่องราวที่เกี่ยวกับภิกษุทุศีล 2 รูป พระลูกวัดสร้อยทองที่มีการประพฤติปฏิบัติล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัย ยังคงเป็นข่าวต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงวันนี้ และจะยังคงเป็นข่าวต่อไปในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป จนกว่าสังคมชาวพุทธจะตื่นรู้และละคลายความสับสนจากความไม่รู้ (อวิชชา) ที่มีความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ) คอลัมน์ “ว่ายทวนน้ำ”ได้ทำหน้าที่นำเสนอบทความเรื่อง “ภิกษุทุศีลหากินในคราบห่มเหลือง” มาแล้ว 2 ตอนในบทความประจำวันที่ 21 ต.ค.64 และ 28 ต.ค.64 ซึ่งได้ประมวลข้อความจากพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกมาให้ได้ศึกษาและทำความเข้าใจในพระธรรมวินัย จะทำให้ชาวพุทธมีความรู้ความเข้าใจในวัตรปฏิบัติของภิกษุว่าอะไรเหมาะ อะไรควรแก่ภิกษุ หรืออะไรไม่เหมาะ อะไรไม่ควรแก่ภิกษุ ก็พอจะทำให้รู้ว่าภิกษุทุศีลทั้ง 2 รูปนี้มีการกระทำย่ำยีต่อพระพุทธศาสนาและไม่มีความเคารพยำเกรงต่อพระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ประการใด

เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเพิ่มขึ้นแก่ชาวพุทธ จะขอนำการสนทนาธรรมในหัวข้อเรื่อง “พหุการสูตร” โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.61 ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ดังนี้

อาจารย์สุจินต์ ฯ กล่าวว่า “…พูดธรรมให้เขาฟังหรือเปล่า? แล้วประโยชน์อะไร? เขาอยากฟังตลก พระก็พูดตลก เพราะชาวบ้านอยากฟังตลก ถูกต้องไหม? ถ้าชาวบ้านไม่อยากฟังตลก พระก็ไม่พูดตลก เพราะว่าพูดแล้วก็ไม่มีใครฟัง แต่พอชาวบ้านอยากฟังตลก พระพูดตลกชาวบ้านก็ฟัง เพราะฉะนั้น ธรรมคืออะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น พระไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร จึงตามใจชาวบ้านที่ชาวบ้านอยากฟังเรื่องตลกก็พูดไป แต่ไม่รู้หรอกว่านั่นคือไม่ใช่ธรรม แล้วผู้พูดเป็นพระภิกษุหรือเปล่า ถ้ากล่าวคำซึ่งไม่ใช่ธรรม? ถ้าพระภิกษุพูดตลก เป็นภิกษุหรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจอะไรเลย ชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้ฟังอะไร เขาอยากฟังอะไรก็คิดว่าพระจะพูดธรรม แต่พอพูดออกไปเป็นตลกเขาก็ชอบ เขาก็เลยเข้าใจว่าธรรมตลก ถูกต้องไหม? ตกลงคนฟังธรรม ก็คือฟังตลกแล้วก็คิดว่ากำลังฟังธรรม ไม่รู้อะไรเลยว่า ขณะนั้นเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่มีคำอะไรที่จะทำให้คนมีความเข้าใจถูก ต้องไม่ลืมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี คำตลกไม่ทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี…”

“กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” ข้อความนี้หมายถึง การกระทำที่เกิดจากความตั้งใจ ความจงใจ เป็นไปทั้งในกุศลธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดีและอกุศลธรรมซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายไม่ดี กล่าวคือ กุศลจิตและกุศลเจตนาเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลกรรม อกุศลจิตและอกุศลเจตนาเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลกรรม ประการนี้เชื่อว่าภิกษุทุศีลทั้ง พระมหาสมปองและพระมหาไพรวัลย์ซึ่งมีการประพฤติปฏิบัติล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัยเป็นอาจิณ ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นการล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัย แต่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนก็แค่นั้นเอง ภิกษุทั้ง 2 รูปนี้ต่างบวชมาแล้วเกิน 10 พรรษา แสดงว่าไม่เคยขัดเกลากิเลสมาก่อนเลย มีแต่การสะสมกิเลสให้พอกพูนเพิ่มขึ้นตลอดเวลา บวชเรียนบาลีมาและศึกษาปริยัติธรรมจนได้เปรียญธรรมหลายประโยค แทนที่จะละคลายความไม่รู้ มีปัญญาเพิ่มขึ้นที่ได้เรียนบาลีและศึกษาปริยัติธรรมมาก็เป็นเพียงใบลานที่ว่างเปล่า มิหนำซ้ำยังอาศัยผ้ากาสาวพัสตร์มาบังหน้าในการแสวงหาลาภ สักการะ อย่างลุ่มหลงมัวเมาชนิดไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี อาศัยโทรศัพท์มือถือสื่อสารในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความนิยมชมชอบกับคนยุคดิจิทัลที่มีจริตในการเสพข้อมูลข่าวสารอย่างบ้าคลั่งด้วยความเห็นผิดในชีวิตประจำวัน

เพื่อเป็นข้อพิสูจน์และข้อยืนยันในความเป็นภิกษุทุศีลของภิกษุทั้ง 2 รูปดังกล่าวข้างต้น สามารถพิจารณาได้จากการกระทำทางกายที่มีพฤติการณ์ล่วงละเมิดสิกขาบทตลอดมาในต่างกรรมต่างวาระ ส่วนการแสดงออกทางวาจานั้น เป็น วจีทุจริตที่มีการพูดบิดเบือนไม่ตรงตามความจริง พูดหยาบคาย พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด ซึ่งเป็นการพูดแบบเล่นลิ้น โดยใช้โวหารและวาทกรรมในการสื่อสารกับผู้คนทั่วไปในสังคมให้หลงเชื่อกับวจีทุจริตดังที่กล่าวมา เช่น

กรณีที่เดินทางไปถึงรัฐสภา ก่อนให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือน ก.ย.64 พระมหาสมปองให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า “ขอให้เข้าใจในการทำหน้าที่เพราะบรรยายธรรมมากว่า 20 ปี เข้าใจดีว่าผู้ฟังแต่ละแบบเป็นอย่างไร ควรจะให้อะไรตอนไหน”

ประการนี้ พระธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำจริงที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงด้วยพระมหากรุณาคุณตลอด 45 พรรษาในครั้งพุทธกาล เพื่อให้สัตว์โลกพ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) แล้ว จะมาใช้วจีทุจริตทำให้ชาวพุทธมีความเห็นผิดได้อย่างไร ที่ทำอยู่นั้นเป็นประโยชน์ตรงไหน

พระมหาไพรวัลย์ ให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย และเห็นว่า เสียงหัวเราะไม่น่าจะเป็นปัญหาระดับชาติ”

ประการนี้ ให้ไปศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อความในพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกให้ดีเสียก่อน นอกจากจะทำตัวเป็นภิกษุทุศีลที่ไม่ใช่เนื้อนาบุญของอุบาสก อุบาสิกา แล้วยังนำความเห็นผิดของตนมาสร้างความสับสนให้กับสังคมชาวพุทธได้อย่างไร

เมื่อวันที่ 9 ต.ค. 64 ภิกษุทุศีลทั้ง 2 รูป มีการเฟซบุ๊กไลฟ์ โดยได้ใช้แคปชั่นที่จะไลฟ์ว่า “พส.ไพรวัลย์ ขิงมาขิงกลับ ไม่โกง” ปรากฏว่าในระหว่างการไลฟ์ พระมหาสมปอง ระบายความในใจว่า “เนื่องจากที่ผ่านมาถูกจ้องจับผิดจากพระผู้ใหญ่ และถูกจ้องให้จับสึกตลอดเวลา มีคำเตือนมา จนตอนนี้ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้นเลย ทำไมคนต้องจ้องสึกเราด้วยนะ ใช้งานเราเถอะไม่ต้องสึกเราหรอก ถึงเวลาเราก็ไปเองแหละไม่ต้องมาไล่ ทำไมคนที่ต้องดูแลเรา ตอนนี้มาคอยจ้องจะจับสึก”

ประการนี้ หากไม่มีอัธยาศัยในการครองตนอยู่ในเพศบรรพชิต และมีการล่วงละเมิดสิกขาบทในพระวินัย ควรจะรีบลาสิกขาเสีย แล้วจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แต่ต้องระวังอย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน

พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า “ตอนบวช โยมไม่ได้มาลำบากกับการบวชของอาตมา แต่จะบวชหรือจะสึก ไม่ต้องมาสาระแน เอาเวลาไปดูแลชีวิตแต่ละคนอยู่บนโลกนี้ไม่เกินอีก 10 ปีก็จะเสียชีวิตไปหมดแล้ว และทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม… สังคมไทยมีศาสนาไว้ทำไม ถ้าพระเตือนไม่ได้ เอาพระไว้ทำไม เอาพระไว้เป็นขี้ข้าหรือเอาไว้เพื่ออะไรทุกวันนี้ คณะสงฆ์แทบจะเป็นขี้ข้าฆราวาส เตือนอะไรไม่ได้เลย”

ประการนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครบังคับให้บวชอย่างแน่นอน หากไม่สามารถครองตนอยู่ในเพศบรรพชิตอย่างถูกต้อง ก็ควรรีบลาสิกขาบทเสีย เพราะจะมีโทษมีภัยแก่ชีวิต เมื่อสิ้นชีวิตแล้วก็จะไปเกิดอยู่ในทุคติภูมิหรืออบายภูมิสถานเดียว การกล่าวหาชาวพุทธทั่วไปว่ามาสาระแนอะไรกับตน รู้อยู่ใช่ไหมว่า ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้กับพุทธบริษัท 4 ได้แก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา โดยมีพระธรรมเป็นศาสดาสืบแทน

และยังเฟซบุ๊กไลฟ์ต่อไปว่า “ให้ผมเรียนผมก็เรียน ไม่รู้ว่าเรียนบาลีไปทำ…อะไร ขออนุญาตใช้คำแรง ผมก็เรียน ผมก็ท่อง ให้ผมทำอะไรผมก็ทำ ไม่ให้ผมทำอะไรผมก็ไม่พูด ให้ผมหยุดผมก็หยุด ผมดื้อเหรอ ผมทำขนาดนี้ยังจ้องจับสึกผมคืออะไร ผมไม่ใช่ลูกพวกคุณเหรอ ผมไม่ใช่คนที่พวกคุณปั้นมาเหรอ คุณต้องการทำร้ายอะไรผม ผมเคยคิดร้ายใครเหรอ ผมเคยทำร้ายใครเหรอ ผมเคยตอบโต้ใครเหรอ ใครจะด่าอะไร….ผมเคยโต้เหรอ ผมยอมทุกอย่าง ผมไปช่วยการกุศลสนามฟุตบอล ต้องระแวง ไปช่วยจะมาจ้องจับสึกอะไร หลายองค์กรบอกผมไม่ผิด คุณก็จะให้ผมผิดให้ได้”

ประการนี้ คงไม่มีใครมุ่งจ้องทำร้ายใครหรอก มีแต่ภิกษุทุศีลเท่านั้นที่ทำร้ายตัวเอง เพราะการกระทำทุจริตทั้งทางกาย วาจา โทษมหันต์ที่ตนได้กระทำ คือ การบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา

พระมหาสมปอง ยังไลฟ์เฟซบุ๊ก ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ใครว่าอะไรมาผมก็น้อมรับ พยายามยิ้มหัวเราะ คุณว่าผมมีความสุขจริงเหรอ คุณรู้ความกดดันอะไรเราบ้าง มีความรู้สึกนะ อะไรกันนักกันหนา เหนื่อย จ้องจับผิดอะไร ไปขัดแข้งขาใคร เพราะเราช่วยคน ไม่ใช่เสื้อเหลือง ไม่ใช่เสื้อแดง ไม่ใช่สลิ่ม ไม่ใช่ประชาธิปไตยจ๋า แค่พระธรรมดารูปหนึ่ง ที่ทำงานให้คนยิ้มคนหัวเราะ ทำบ้าๆ บอๆ เข้าใจชีวิตตลกที่มันเศร้า นอกจากนี้ มารดาที่เป็นผู้ป่วยติดเตียงยังไม่สบายใจที่ได้ยินข่าวว่าพระมหาสมปองจะโดนจับสึก และพี่สาวโทร.มาถามบ่อยๆ เพราะเป็นห่วงจิตใจคุณแม่”

ประการนี้ เมื่อบวชเป็นภิกษุแล้ว ก็มีกิจที่ต้องทำซึ่งเป็นหน้าที่ของภิกษุ มีวัตรปฏิบัติตามสิกขาบทในพระวินัย ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยากกับชีวิตเลย หากคิดว่ามความยุ่งยากกับชีวิต ควรรีบลาสิกขาโดยเร็วพลัน จะได้ไม่สร้างความมัวหมองและความเสื่อมเสียให้กับพระพุทธศาสนาอีกต่อไป

คอลัมน์ “ว่ายทวนน้ำ” จะยังคงทำหน้าที่นำเสนอบทความเรื่องนี้ต่อไป เพื่อให้สังคมชาวพุทธได้ตระหนักรู้และตื่นรู้เกี่ยวกับพฤติการณ์บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาของภิกษุทุศีลทั้ง 2 รูปนี้ ในเบื้องต้นขอตั้งคำถามกับพระอุปัชฌาย์ของภิกษุทุศีลทั้ง 2 รูปนี้ รวมถึงผู้ช่วยเจ้าอาวาสและเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองว่า มีการกำกับดูแลปกครองพระสงฆ์ในวัดกันอย่างไร ภิกษุทุศีลทั้ง 2 รูปนี้ถึงกล้าประพฤติปฏิบัติล่วงละเมิดสิกขาบทโดยไม่สนใจไยดีกับผู้มีหน้าที่และอำนาจสูงสุดของรัฐแต่อย่างใด

อ่านบทความย้อนหลังที่นี้..
ภิกษุทุศีลหากินในคราบห่มเหลือง ชาวบ้านชาวเมืองรู้ดี
ภิกษุทุศีลหากินในคราบห่มเหลือง ชาวเมืองรู้ดี ตอน 2

…………………………………..
คอลัมน์ : ว่ายทวนน้ำ
โดย “ทวีศักดิ์ อุ่นจิตติกุล”
ภาพจาก : เดลินิวส์
อ่านเพิ่มเติมที่.. แฟนเพจ :
สาระจากพระธรรม