ขณะที่ตลอดทั้งปี 67 ที่ผ่านมา จะเติบโตได้อย่างน้อย 2.7% ด้วยสารพัดปัจจัยที่เข้ามาประคับประคอง ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง หรือแม้แต่การขยายตัวของการส่งออก
ส่วนตัวเลขจริงจะหักปากกาเซียนทั้งในทางบวกและในทางลบหรือไม่ ก็คงต้องรอการประกาศจากสภาพัฒน์อย่างเป็นทางการต่อไป
แต่ก็เชื่อได้ว่าบรรดาชาวบ้านชาวช่องคงไม่ได้รู้สึกอะไร รู้เพียงแต่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ข้าวของขายไม่ได้ เพราะตลาดเงียบสนิท เดินไปทางไหนก็มีแต่คนขายไม่มีคนซื้อ อันนี้เห็นได้ชัด
แล้วยังต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ที่แม้จะมีเงิน 30,000 ล้านบาทเทเข้ามาในระบบจากการแจกเงินคนสูงวัย แต่ก็แป๊ปเดียว ที่ดูเหมือนคึกคัก พอหมดเงินก็แป้ก เหมือนเดิม
เหตุผลใหญ่ที่รู้ดีกันอยู่ เพราะคนไทยยังก้าวไม่พ้นการ “เป็นหนี้” ที่แม้รัฐบาลออกมาการแก้หนี้ ออกโครงการคุณสู้เราช่วย เพื่อช่วยเหลือ แต่การก้าวข้ามการเป็นหนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย หากรายได้ของประชาชนคนทั้งประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้น
รัฐบาลตั้งเป้าหมายในปี 68 นี้จะเป็นปีแห่งโอกาส โดยหวังเงินจากการลงทุนของภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะเห็นข่าวประกาศการลงทุนของต่างประเทศจากหน่วยงานของรัฐบาลออกมาเป็นระยะ ๆ
ชัด ๆ ก็เรื่องของติ๊กต่อก ที่รัฐบาลประกาศให้เห็นว่าจะมีการลงทุนเข้ามากว่า 1.2 แสนล้านบาท หรือการลงทุนสร้าง Jurassic World: The Experience กว่า 1,200 ล้านบาท ของกลุ่มเจ้าสัว เจริญ ศิริวัฒนภักดี
แม้แต่ล่าสุด การประกาศลงทุนเพิ่มของค่ายรถยักษ์ใหญ่ อย่างค่ายมาสด้า อีกกว่า 5,000 ล้านบาท ที่จะลงทุนผลิตรถไฮบริด รุ่นใหม่ เพื่อขายในประเทศและส่งออกอีกปีละ 1 แสนคัน
หรือแม้แต่การประกาศการปั้นโครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่ต้องใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท !!
นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ อีกหลายโครงการ ที่รัฐบาลพยายามบอก พยายามพูดออกมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น
สิ่งเหล่านี้…ไม่ได้หมายความว่าว่าเงินทั้งหมด จะเทกันลงมาภายในปีนี้ปีเดียว แต่ต้องใช้อีกอย่างน้อย 3-5 ปี กว่าจะออกดอกออกผล
แต่ก็เอาเถอะ!! อย่างน้อยคนไทยก็มองเห็นความหวัง แม้ยังอยู่ห่างไกล แต่ก็ยังดีกว่าไม่เห็นความหวังใด ๆ นอกจากการสาดสี เล่มเกมการเมืองกันไปมา
มาในปี 68 นี้ รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจต้องเติบโตได้อย่างน้อย 3% และยังมีโอกาสสูงที่จะทะยานเพิ่มขึ้นไปถึง 3.5% ด้วยซ้ำ

โอกาสที่เศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ตามนั้น ต้องมาจาก 5 ปัจจัย คือ
1) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ทั้งรายจ่ายประจำและรายจ่ายลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายโดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน
2) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของประชาชนผู้ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต (ระยะที่ 3) เพื่อทำให้เงินทั้งหมดถูกใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุด
3) การเร่งรัดการลงทุนในโครงการบ้านเพื่อคนไทยเพื่อให้เกิดการลงทุนตามแผนงาน
4) การกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและช่วงปลายปีที่ประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33
และสุดท้าย 5) การเร่งรัดโครงการการลงทุนของภาคเอกชนหลังได้รับการออกบัตรส่งเสริมการลงทุนแล้ว โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อให้เกิดเงินลงทุนจริงสู่ระบบเศรษฐกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทย
ทั้งหลายทั้งมวล … คงเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะเกิดขึ้นได้ตามความฝันที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ เพราะยังมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาเบี่ยงเบน ทั้งเรื่องนโยบายของทรัมป์ 2.0 ทั้งกระแสข่าวการปรับครม.ที่จะเกิดขึ้นหลังศึกซักฟอกรัฐบาล และอีกหลากหลายความเสี่ยง
ณ เวลานี้…ประชาชนคนไทย คงทำได้แค่เพียง “รอ” พิสูจน์ ก็เท่านั้น!!
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”