ตัวเลขนี้แสงดให้เห็นชัดเจนว่า…บรรดาคู่ค้าต่างเร่งออเดอร์สินค้า เพื่อหลบเลี่ยงนโยบายภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์  เพราะสินค้าส่งออกไปที่ตลาดสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยพุ่งสูงถึง 34.3% ทีเดียว

ขณะที่แนวโน้มการส่งออกสินค้าไทยจากนี้ ไปจนถึงเดือนมิ.ย.68 เชื่อได้เลยว่า จะพุ่งสูงปรี๊ดต่อเนื่องจากเดือนมี.ค. แน่นอน จนกว่าจะถึงวันที่ 9 ก.ค.นี้ ที่จะครบกำหนดระยะเวลาที่ “ทรัมป์” ได้เลื่อนระยะเวลาการจัดเก็บภาษีตอบโต้

นั่น!! หมายความว่า… ระยะเวลาต่อจากนั้น หาก “ทรัมป์” ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่โลเล หรือการเจรจาต่อรองระหว่างทีมไทยแลนด์กับสหรัฐ ยังไม่เป็นผล ตัวเลขการส่งออกสินค้าไทยคงจะพลิกกลับระเนระนาด เพราะคู่ค้าได้สต๊อกสินค้าไว้เตรียมรับมือไปแล้ว

สุดท้ายแล้ว!! เศรษฐกิจไทยก็จะกระทบกระเทือนจนดิ่งเหว และยิ่งแผนการเตรียมรับมือกับสหรัฐไม่เข้มแข็งพอ ความชอกช้ำก็จะเกิดขึ้นกับคนไทยทั้งประเทศ

อย่างที่สภาพัฒน์ได้ประเมินไว้ว่า ผลพวงในเรื่องนี้จะเริ่มเห็นชัดเจนตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ เป็นต้นไปและยิ่งกระทบมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

ปัญหาใหญ่ที่จะตามมา และส่งผลโดยตรงกับประชาชนคนไทยตาดำ ๆ คือเรื่องของการ “เลิกจ้าง” โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ถูกแรงกระแทกจากทรัมป์เอฟเฟค

แม้รัฐบาลตั้งท่าจะให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกับผู้ประกอบการ แต่หากไม่มีออเดอร์ ไม่มีคำสั่งซื้อจากคู่ค้าเข้ามา ผู้ประกอบการอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเงินที่จะได้มาจะเอาไปทำอะไร

อย่าลืมว่าทุกวันนี้ความไม่แน่นอนมีสูงมาก ผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร หรือสุดท้ายแล้ว “ทรัมป์” จะตัดสินใจอย่างไรก็แน่ เพราะความแน่นอนในเวลานี้คือ…ความไม่แน่นอนของทรัมป์

อย่างที่รู้กันอยู่ว่า รัฐบาลเตรียมแผนที่จะกู้เงินอีก 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาสร้างแรงต้านในประเทศให้เข้มแข็งให้รับมือจากแรงกระแทกจากภายนอก

ถามว่า? ถูกที่ถูกเวลาหรือไม่? ความตั้งใจของรัฐบาลแม้จะถือโอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแรง โดยเน้นไปที่การลงทุนในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ก็…เป็นเรื่องในระยะยาว เป็นเรื่องในอนาคต

และที่ผ่านมา เรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่พูดกันมาอย่างยาวนาน พูดกันมาในทุกยุคที่สมัยหลายสิบปี สุดท้าย!! ก็อย่างที่เห็น

เรื่องของระยะยาว ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ แต่ระยะสั้น… ที่รู้กันอยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง? ตรงนี้!! เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด

ไม่ต้องพูดกันถึงเรื่องของจีดีพีที่ต้องรักษาไว้ให้ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ปัญหาใหญ่ คือ ปากท้องของคนไทยนี่สิ… จะแก้ไขอย่างไร

เพราะตราบใดที่คนไทยยังเป็นหนี้ ยังมีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย สุดท้ายปัญหาก็เข้าสู่วังวนเดิม ๆ คือ “เป็นหนี้” เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ ถ้าจีดีพีดีเติบโตดี สัดส่วนหนี้ก็ย่อมต้องลดน้อยถอยลง

ความพยายามในการจุดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ จากการกู้เงิน 5 แสนล้านบาท เวลานี้ กำลังถูกจับตามองจากทุกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา

ด้วยเพราะทุกฝ่ายต่างมองว่า หาก… “กู้มาแจก” อย่างที่ทำมาแล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดแรงหมุนเศรษฐกิจอย่างที่รัฐบาลต้องการ เพราะแจกปุ๊ปก็หายปั๊ป ไม่ได้มีแรงส่งมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยซ้ำ

จึงไม่แปลกใด ๆ หากหลายฝ่ายจะส่งสัญญาณเตือนถึงรัฐบาล ว่าอย่าทำอะไรให้ซ้ำรอยเดิม กู้เพื่อการพัฒนา เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้ เชื่อว่าไม่มีใครคัดค้านแน่นอน เพราะเป็นเรื่องต้องทำ

แต่!! ถ้ากู้มาแจก แล้วซ้ำรอยเดิม ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าทำ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องคิดให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้น คนไทยทั้งประเทศก็ต้องแบกรับภาระเงินกู้นั้นเพิ่มมากขึ้นไปอีก!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่