ห่างหายไปนานกว่า 14 ปี ก็กลับมาเอาใจแฟนหนังสยองขวัญอีกครั้งสำหรับ Final Destination Bloodlines หรือ “ไฟนอลเดสติเนชั่น ทายาทโกงตาย” แฟรนไชส์เลือดสาดสุดโหด+18 โดยในภาคนี้ถือเป็นภาคที่ 6 แล้ว ทว่ากลับมาคราวนี้หนังโดนโรคเลื่อนจากวันที่ 15 พ.ค. กระเด็นไปอยู่วันที่ 22 พ.ค. ทำเอาแฟนหนังเซ็งไปตาม ๆ กัน แต่ไม่เป็นไร “ดูหนังกับหมี” รีวิวแบบไม่มีการสปอย์ เพื่อให้คอหนังได้ตัดสินใจว่าจะชมหรือไม่อย่างไร แต่ก่อนจะไปยลเรามาดูเรื่องราวตั้้งแต่ภาค 1-5 กันก่อนครับ

Final Destination (2000): เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่ อเล็กซ์ บราวนิ่ง (เดวอน ซาว่า) เกิดนิมิตเห็นเครื่องบินที่เขากำลังจะขึ้นพร้อมเพื่อน ๆ ประสบอุบัติเหตุระเบิดกลางอากาศ ด้วยความตกใจ เขาจึงพาเพื่อนสนิทบางคนลงจากเครื่องบินก่อนเกิดเหตุการณ์จริง ทำให้พวกเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แต่แล้วความตายก็เริ่มตามล่าพวกเขาเหล่านั้นทีละคน ตามลำดับที่พวกเขาควรจะตายบนเครื่องบิน

Final Destination 2 (2003): หลังจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในภาคแรกผ่านมาหนึ่งปี คิมเบอร์ลี่ คอร์แมน (เอ.เจ. คุก) เกิดนิมิตเห็นอุบัติเหตุรถยนต์ครั้งใหญ่บนทางหลวง ก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริง เธอจึงขวางรถยนต์บางคันไว้ ทำให้มีผู้รอดชีวิตหลายคน แต่เหมือนเดิม ความตายก็เริ่มกลับมาทวงชีวิตพวกเขาตามลำดับที่ควรจะตายในอุบัติเหตุครั้งนั้น

Final Destination 3 (2006): ในภาคนี้ เวนดี้ คริสเตนเซ่น (แมรี่ เอลิซาเบธ วินสตีด) เกิดนิมิตเห็นอุบัติเหตุรถไฟเหาะในสวนสนุก ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง เธอและเพื่อน ๆ บางคนหนีรอดออกมาได้ แต่โชคชะตาก็ยังคงตามเล่นงานพวกเขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีภาพถ่ายเป็นกุญแจสำคัญในการทำนายลำดับการตาย

The Final Destination (2009): เรื่องราวในภาคนี้เกิดขึ้นในสนามแข่งรถ เมื่อ นิค โอ’แบนนอน (บ็อบบี้ แคมโป) มองเห็นภาพอุบัติเหตุรถแข่งครั้งใหญ่ที่ทำให้ผู้ชมจำนวนมากเสียชีวิต เขารีบพาเพื่อน ๆ หนีออกมาจากสนามแข่งก่อนเหตุการณ์จริง แต่ความตายก็ยังคงไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่ลดละ โดยในภาคนี้เป็นภาคแรกที่นำเสนอภาพการตายแบบสามมิติ

Final Destination 5 (2011): ก่อนที่สะพานแขวนจะถล่ม แซม ลอว์ตัน (นิโคลัส ดี’อกอสโต) เกิดนิมิตเห็นภาพอันน่าสยดสยองนั้น เขาจึงช่วยเพื่อนร่วมงานหลายคนให้รอดพ้นจากความตายมาได้ แต่เหมือนเช่นเคย ความตายก็เริ่มตามเก็บชีวิตพวกเขาไปทีละคนอย่างโหดเหี้ยม และในภาคนี้ยังมีการเชื่อมโยงเนื้อเรื่องกลับไปยังภาคแรกอีกด้วย

เรื่องย่อ Final Destination Bloodlines (2025) : สเตฟานี นักศึกษาวิทยาลัยต้องเจอกับฝันร้ายที่รุนแรงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงมุ่งหน้ากลับบ้านเพื่อตามหาคน ๆ หนึ่งที่อาจสามารถทำลายวงจรนี้และช่วยครอบครัวของเธอจากการตายอันน่าสยดสยองที่รอพวกเขาอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หนังมีความยาว 1 ชม. 49 นาที มีนักแสดงนำโดย เคทลิน แซนต้า ฮวาน่า, ทีโอ บริโอเนส, ริชาร์ด ฮาร์มอน, โอเวน แพทริค จอยเนอร์, รยา คิลสเตดต์, แอนนา ลอร์ ร่วมด้วยเบร็ค บาสซิงเกอร์ และ โทนี่ ทอดด์ กำกับโดย แซ็ค ลิพอฟสกี และ อดัม บี.สไตน์
จุดแข็ง หนังยังคงโชว์ความสดใหม่ของกลไกการตาย เอาใจสายฮาร์ดคอแบบสุดโต่ง ลูกเล่นที่คอยหลอกล่อให้ผมชมต้องหลงกล เพราะคิดว่าตัวละครจะต้องโดนความตายเล่นงาน แต่กลับกลายเป็นอีกตัวละครหนึ่ง ความตายที่พร้อมจะพรากชีวิตตัวละครในเรื่องไปเรื่อย ๆ จนต้องคอยเอาใจลุ้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับตัวละครที่เราพยายามเอาใจช่วย หรือในบางครั้งผู้ชมก็ยังอยากเอาใจช่วยฝ่ายความตาย เพื่อให้พรากชีวิตคนบางคน เพราะความหมั่นไส้ในบทบาทร้าย ๆ ซะด้วย

จุดอ่อน เพราะการหนีความตายและสุดท้ายก็ตายเป็นอะไรที่ดูซ้ำ ๆ ก็เกิดความเบื่อหน่ายได้ อีกทั้งหนังเน้นแต่ความรุนแรงและความโหดก่อนจะตาย มันกลายเป็นสูตรสำเร็จ คล้าย ๆ ภาคก่อน ยังดีที่หนังมีเซอร์ไพรส์ใส่มาให้ปลดความซ้ำซากลงได้ในหลายพาร์ท ไม่งั้นคงไม่ต่างอะไรกับดูโชว์เชือดนิ่มๆ

4/5 หนังเอาใจสายสายโหดแบบ “ฮาร์ท คอร์ด” ดูแล้วกลับมาบ้าน อาจรู้สึกหลอน ๆ เวลาทำกิจกรรมบางอย่างเหมือนในหนัง เพราะจงอย่าลืมว่าความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Warner Bros.