เวทีสภาเดือดในการพิจารณางบวาระแรก สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท หลักการตามยุทธศาสตร์ 6 ด้าน ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี โดยแบ่งเป็น 1.ด้านความมั่นคง 415,327ล้านบาท 2.ด้านการสร้างความสามารถการแข่งขัน 394,611ล้านบาท 3.ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927ล้านบาท 4.ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942,709ล้านบาท 5.ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216ล้านบาท และ6.ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาการบริหารจัดการภาครัฐ 605,441ล้านบาท

งานนี้ พรรคประชาชน ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้เข้าตา พากันรุมกระซวกหนัก ซัดจัดงบฯไม่ตอบโจทย์ ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้โดยเฉพาะกำแพงภาษีทรัมป์เอฟเฟค เริ่มตั้งแต่“เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน ชี้ว่าการจัดงบ รัฐบาลแพทองธาร เป็นกระจกสะท้อนชั้นดีว่าเป็นรัฐบาลที่ไร้ทิศ ไร้ทาง ไร้ภาพ ไร้เป้าหมาย จัดงบประมาณผิดพลาด ล้มเหลวเหมือนเดิม งบประมาณสูตรเดิม ระวังจะเป็นรัฐล้มเหลว สถานการณ์ในตอนนี้ไม่ใช่วิกฤติทางการคลัง แต่คือวิกฤติทางการเมือง เป็นวิกฤติของสถาบันรัฐไทย ถ้านายกฯยังทำงานแบบเดิม เราจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่เราจะลุกขึ้นมาไม่ได้อีก

ที่สำคัญยังมีการแฉในส่วนของกระทรวงคมนาคม โดยหัวหมู่ทะลวงฟัน “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ด้วยการเปิดขุมทรัพย์เงินทอน ปีละกว่า 8 พันล้านบาท ที่ซุกซ่อนเอาไว้ในโครงการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง(ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.)
แต่เจอ “สุริยะ” ลุกแจง ซัด ‘วิโรจน์’ ไร้กาลเทศะ ลากเวทีถก ‘งบปี 69’ มา ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ยันไร้โครงการ ‘ส่อฮั้ว-หวังเงินทอน
ท่ามกลางกระแสลมร้อน มหากาพย์คดี “โครงการรับจำนำข้าว” ตามหลอน “ตระกูลชินวัตร” ไม่เลิกจากคำสั่งศาลปกครองสูงสุดพิพากษา สั่งให้กระทรวงการคลัง เรียกค่าเสียหายจาก “อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์” กรณีระบายข้าว เป็นเงิน 10,028 ล้านบาท ปล่อยให้เกิดการทุจริตในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐที่เป็นเท็จ

ต้องมาวัดใจ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง จะสามารถทวงเงินจาก “ยิ่งลักษณ์”มาได้หรือไม่ แต่ดูเหมือนกระทรวงการคลังจะยื้อ ย้วย ยากไปหมด มองแล้วแรงกดดันจะไปอยู่ที่ “พิชัย” จะเคลมอย่างไรให้ถูกหลักนิติรัฐนิติธรรมและถูกใจคนกันเอง โดยไม่ค้านสายตาประชาชน
ขณะที่ทีมทนาย“ยิ่งลักษณ์”เตรียมหาช่องทางร้องศาลปกครองภายใน 90 วัน เพื่อให้พิจารณามีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ อ้างว่ามีข้อมูลใหม่จากการที่กระทรวงพาณิชย์ ที่ขายข้าวของโครงการนี้ ซึ่งคงค้างในโกดัง ราว 18.9 ล้านตัน สามารถใช้เงินจากตรงนี้มาหักลบกลบมูลหนี้ 10,028 ล้านบาทได้
วาระร้อนการเมืองผุดขึ้นมาเขย่าขวัญกันรายวันโดยเฉพาะสงครามตัวแทน ห้ำหั่นกันถึงพริกถึงขิงเล่นกันเต็มเหนียวไม่มีกั๊ก โดยเฉพาะคดีฮั้วเลือกสว. ร้องกันนัวเนีย ล่าสุด คณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต. และดีเอสไอ ออกหมายเรียกสว.ล็อต 5 ให้ 22 สว.สีน้ำเงิน เข้าชี้แจงกล่าวหาพัวพันคดีฮั้ว สว. งวดนี้มีชื่อ “พรเพิ่ม ทองศรี” พี่ชาย ‘ทรงศักดิ์ ทองศรี’ รมช.มหาดไทยไทย ค่ายพรรคภูมิใจไทย ด้วย สรุปรวมตอนนี้ มีสว.โดนเรียกชี้แจง รวม 127 คน ต้องจับตาดูศึกนี้จะปิดเกมได้เมื่อไหร่ หรือการเมืองพลิกผันจนออกมาค้านสายตาประชาชน ด้วยการเกี้ยเซียะหรือไม่
อีกคดีที่ร้อนไม่แผ่วคือ คดีนักโทษเทวดาชั้น 14 “นายใหญ่ทักษิณ” จะเป็นแรงปะทุเปิดศึกระหว่าง “หมอ”กับ“การเมือง” หลังแพทยสภามีมติลงโทษ 3 หมอ

ล่าสุด “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภา “วีโต้” ส่งความเห็นกลับไปที่ประชุมแพทยสภา ตั้งข้อสังเกตในประเด็นการพิจารณาของอนุกรรมการกลั่นกรองแพทยสภาที่มีการเปลี่ยนมติเพิ่มโทษ 3 หมอทั้งที่มี 4 คน ซึ่งจะเป็นผลนำไปสู่ ที่ประชุมบอร์ดแพทยสภา พิจารณาใหม่ ซึ่งมีทั้งหมด 70 คน ก็ต้องมีการลงมติโดยใช้เสียง 2 ใน 3 ว่า จะยืนยันตามมติเดิมของแพทยสภา หรือจะทบทวนตามที่มีการวีโต้กลับมาหรือไม่
สู้กันทุกประตูทางออก จนมีกระแสปลุกหมอแห่เข้าชื่อเซฟแพทยสภาแถมยังมีกระบวนการล็อบบี้แพทย์อย่างหนักหน่วงเพื่อไม่ให้เข้าประชุมแพทยสภา
อาจเป็นอีก1 ดาบเพิ่มแรงกดดันไปเติมเชื้อไฟให้กลุ่มม็อบข้างถนนรอเวลารวมตัวกันสร้างทัพประชาชนขึ้นมากดดันตัดเชือกรัฐบาล
ดูท่าทาง“นายใหญ่ทักษิณ” ยังเหิมเกริมไม่เลิก ประกาศเปิดศึกแพทยสภา ซัดไร้จริยธรรม กลางงานปาฐกถาพิเศษในการประชุมคณะกรรมการติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานป้องกันปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แถมยังฟาดไปทุกองคาพยพ

นอกจากนี้ประกาศกร้าวกับ “ว้าแดง” ให้จัดการกับยาเสพติด ซึ่งจะขอความร่วมมือจริงจัง กับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นแหล่งผลิตถ้าเมียนมาจัดการไม่ได้ เพราะเป็นชนกลุ่มน้อย เราคงต้องขอจัดการเอง เพราะมันเป็นศัตรูของเรา อีก 1-2 เดือนนี้ รมว.ต่างประเทศต้องไปพบปะกับเพื่อนบ้านทั้งหมด เพื่อผนึกกำลังกันให้ “ว้าแดง” เลิกผลิตยาเสพติด ถ้าคุณยังผลิตคุณคือศัตรูของประเทศไทย เราไม่ควรมีความปรานีกับศัตรู
หลังจากจบงานก็โชว์บทหวานกอดคอ “เสี่ยหนู อนุทิน” กลบกระแสร้อนกับการปรับครม.ถีบพรรคภูมิใจไทย ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล พร้อมบอกด้วยว่า ทุกอย่างมีกติกา และเราต้องมีมารยาทในการร่วมรัฐบาลต่อกัน พรรคร่วมรัฐบาลจะไปสั่นคลอนได้อย่างไร อยู่ด้วยกัน ทุกวันนี้ อยู่กันจนจบแน่นอน ไม่ต้องห่วง แล้วก็ยังไม่มียุบสภายังอีกนาน หรือเปลี่ยนนายกฯกลางคัน เพราะ “ตอนนี้ยังกอดกันได้อยู่”

แต่พอค้อยหลัง“ทักษิณ” สวมบทกูรูเขย่ากระดานการเมือง ทวงคืนกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย พร้อมประกาศ พรรคเพื่อไทย ต้องดูและ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์
ท่ามกลางกระแสลมร้อนการเมืองที่สำคัญยังมีศึกชายแดน “ไทย-กัมพูชา”ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ซึ่งบริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ทับซ้อน ยังไม่มีการแบ่งเขตแดนไทย-กัมพูชาอย่างเป็นทางการ เกิดเหตุทหารกัมพูชา ขุดคูเลต หรือสนามเพลาะเพื่อสร้างจุดที่ตั้ง ทำให้ทหารไทยเข้าไปเจรจาให้ออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นการละเมิด MOU 2543 เป็นครั้งที่ 2 เจอทหารกัมพูชายิงสวนออกมา เหตุยิงปะทะจึงเกิดขึ้น
ทำเอา“นายกฯอิ๊งค์” เร่งต่อสายคุย “พล.อ.ฮุน มาเนต” นายกฯ กัมพูชา ทันที พร้อมส่งพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ไปเจรจากับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา โดยได้ข้อสรุปร่วมกัน เพื่อยุติข้อขัดแย้ง
เป็นเรื่องร้อนที่เกิดขึ้นแต่มื้อแต่ละเดย์ รุมเร้าเขย่า “รัฐบาลแพทองธาร” งานนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ต้องตั้งหลักคัดหางเสือไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นมีหวังล้มคลืนลงมาได้.