แฟนๆ ซีรีส์ทั่วโลกกำลังฮือฮาหนักมาก! หลังจาก “Squid Game 3” มหากาพย์ความระทึกขวัญจาก Netflix ปล่อยสตรีมครบทุกตอน กระแสความแรงก็พุ่งทะยานไปทั่วทุกมุมโลก!

โดยเฉพาะฉากสุดท้ายของซีซัน 3 ที่ทำเอาคนดูอ้าปากค้าง เมื่อนักแสดงฮอลลีวูดอย่าง “เคต แบลนเชตต์” ปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝัน! นี่คือการจุดชนวนความคาดหวังครั้งใหญ่ว่า “Squid Game” เวอร์ชันอเมริกัน หรือภาคแยก (Spin-off) กำลังจะถูกสร้างขึ้นจริง!\

เรื่องราวสุดเข้มข้นใน “Squid Game 3”: การเดิมพันครั้งใหม่ที่บีบหัวใจ!

ซีซัน 3 เล่าเรื่องราวของ ซองกีฮุน ที่กลับมาท้าทายเกมเอาชีวิตรอดอีกครั้ง พร้อมด้วย ฟรอนต์แมน ที่ยังคงปิดบังตัวตนและเข้าร่วมเกม และชะตากรรมของผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย

จุดเด่นของซีซันนี้คือการสำรวจ การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของกีฮุน หลังจากการเป็นพยานการตายของจองแบ เพื่อนสนิทที่สุดของเขา และ ความขัดแย้งภายในของฟรอนต์แมน ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ ซึ่งล้วนเพิ่มความเข้มข้น และดึงดูดผู้ชมให้จมดิ่งไปกับเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง!

เคต แบลนเชตต์ กับบทบาท “หญิงสาวตบหน้า”: การขยายจักรวาล “Squid Game”!!

ทุกคนรู้จัก เคต แบลนเชตต์ จากบทบาทอันทรงพลังอย่าง “เฮล่า” เทพีแห่งความตาย จากภาพยนตร์ Thor: Ragnarok แต่การปรากฏตัวของเธอใน “Squid Game 3” นั้นเหนือความคาดหมายจริงๆ!

ในฉากสุดท้ายของซีซัน 3 หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลง ฟรอนต์แมน (อีบยองฮอน) ได้เดินทางไปลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา เพื่อนำของที่ระลึกไปมอบให้กับ กายอง ลูกสาวของซองกีฮุน และระหว่างทางกลับ เขาก็ไปเจอฉากเล่นเกมตบแปะกันในตรอกซอกซอย!

ในวินาทีนั้นเอง เคต แบลนเชตต์ก็ปรากฏตัวในชุดสูทดำ ผมบลอนด์ถูกรวบอย่างประณีต และที่พีคที่สุดคือ เธอลงมือตบหน้าคู่ต่อสู้! ท่าทางและสีหน้าของเธอชวนให้นึกถึงชายชุดดำอย่าง “กงยู” ในซีซันแรก

ฉากที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้โลกออนไลน์ระเบิดด้วยปฏิกิริยาหลากหลาย ทั้งความประหลาดใจและความตื่นเต้น:

“เคต แบลนเชตต์ มาโผล่ที่นี่ได้ไงเนี่ย?!”
“นี่มันกำลังปูทางไปเวอร์ชันอเมริกาใช่ไหม?”
“ใครจะเป็นผู้กำกับกันนะ?”

และข่าวลือที่ยิ่งตอกย้ำความคาดหวังนี้คือ มีรายงานว่า “Squid Game” เวอร์ชันอเมริกา จะได้ เดวิด ฟินเชอร์ ผู้กำกับระดับปรมาจารย์แห่งภาพยนตร์แนวไซโคทริลเลอร์อย่าง ‘Fight Club’, ‘Seven’ และ ‘Gone Girl’ มารับหน้าที่กำกับ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนพรีโปรดักชันแล้ว!

นี่คือย่างก้าวที่สำคัญของกลยุทธ์การขยายเนื้อหาต้นฉบับของ Netflix สู่ระดับโลก และยังเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตาของการนำทรัพย์สินทางปัญญาของเกาหลีใต้เข้าสู่ฮอลลีวูด!