ทีมชาติไทยเป็นแชมป์ 5 สมัย มากกว่าทุกทีม จากการจัดแข่งมา 12 ครั้ง ส่วนสิงคโปร์ 4 ครั้ง, เวียดนาม 2 และ มาเลเซีย 1

2 ครั้งหลังของไทย ที่ คุมโดย “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง มาพร้อมการจุดระเบิดของเจเนอเรชั่นของ “ชนาธิป สรงกระสินธ์” กับการคว้าแชมป์ปี 2014 กับ 2016

กระทั่งครั้งล่าสุด ปี 2018 ที่คุมโดย มิโลวาน ราเยวัช เราตกม้าตายรอบรองชนะเลิศ แบบ “ฝันร้าย” เพราะฝีมือของ “เสือเหลือง” มาเลเซีย ด้วยกฎอเวย์โกล (บูกิตจาลิล 0-0, ราชมังฯ 2-2)

“ดรีมไฟนัล” รอบชิงชนะเลิศในฝัน ไทย พบ เวียดนาม เลยไม่เกิดขึ้น และหนนั้นเวียดนาม ก็ไปถึงแชมป์

ก่อนได้แชมป์อาเซียน ดาวทอง ของ ปาร์ค ฮังซอ ขึ้นมาเขย่าบัลลังก์เจ้าภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และแชมป์เมื่อปี 2018 ก็ถือว่าสิ้นสงสัย เพราะเวียดนาม กลายเป็นทีมแรงกิ้งฟีฟ่าสูงสุด และได้แชมป์ฟุตบอลอาเซียน ไหนจะต่อเนื่องด้วยซีเกมส์อีก ผลงานระดับทวีปก็เหนือกว่า

อย่างเดียวที่ไทยพอจะปลอบใจตัวเองได้คือ การเจอกับ เวียดนาม ในคัดบอลโลก เสมอทั้ง 2 ครั้ง ก็ถือว่ายังไม่แพ้ (ส่วนคิงส์ คัพ เราเสร็จคาบ้าน)

ด้วยผลงานก็ต้องยอมรับว่า เวียดนาม กระชากไปไกล ซูซูกิ คัพ หนนี้ เป็นเต็ง 1 ซึ่งที่ผ่านมาแทบไม่มีครั้งไหนที่ ไทย ไม่ได้ร่วมแข่งขันในฐานะตัวเต็ง

ศักดิ์ศรีกินไม่ได้แต่เท่ ทีมชาติไทย อยู่แบบช้ำมาระยะหนึ่ง อย่างฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ได้แต่ดูเวียดนามลงเตะรอบสุดท้ายเอเชีย ส่วนไทยกลับต้องเตรียมตัวคัดเอเชียน คัพ

เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ จึงเป็นเวทีที่หมายมั่นปั้นมืออย่างยิ่ง ที่จะพิสูจน์ให้รู้แล้วรู้รอด ว่าใครคือเบอร์ 1

เวียดนามดีกว่า เก็บตัวนานกว่า แต่อย่าลืมว่า กำลังเมาหมัด จากการแพ้รวดในคัดบอลโลก รอบ 12 ทีมสุดท้าย อาจารย์ปาร์ค ยังยอมรับว่าทั้งเครียด ทั้งกดดัน ดังนั้น “ไม่น่าพีค”

ไทย เวลาเตรียมตัวน้อย แต่คิดดีๆ ก็ไม่ได้ถึงกับเลวร้าย หากตัวมาครบๆ และไม่มีใครถอนตัวเพิ่ม นัดแรกกับ ติมอร์ อาจยังขลุกขลัก ก็ยังดีคู่แข่งไม่หิน จากนั้นนัด 2 ได้ ชนาธิป ได้ ธีราทร บุญมาทัน และมีเวลาซ้อมมากขึ้นอีก 5 วัน กว่าจะถึงนัด 2 กับ เมียนมา ก็จะลงตัวขึ้น

และจะดียิ่งขึ้น เมื่อถึงรอบรองชนะเลิศ

แต่หวังว่าจะไม่ได้เจอเวียดนามในนัดตัดเชือก

เพราะนัดหมายที่วางไว้คือรอบชิงฯ

ในวันขึ้นปีใหม่ พิสูจน์กันให้รู้ว่าใครคือเจ้าอาเซียน

หวังว่าจะมากันตามนัดหมาย รับรองได้ว่าสนั่นปฐพีแน่.

*** วุฒินล ***