ข่าวที่สื่อไทยแทบไม่สนใจ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีรายงานของธนาคารโลก Aiming Hight Navigating the next stage of Malaysia’s development (2021) คาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า คือ ปี 2024-2028 มาเลเซียจะก้าวสู่จุดเริ่มต้นในการเป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยปัจจุบันคนมาเลย์มีรายได้ 10,200 ดอลลาร์ (หรือ 3.36 แสนบาท) ต่อปี พอกับคนจีน ขณะที่ไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 7,189 ดอลลาร์ (หรือ 2.37 แสนบาท) ต่อปี ซึ่งตามเกณฑ์ของธนาคารโลก การก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางไปสู่รายได้สูง คนจะต้องมีรายได้ 11,535 ดอลลาร์ (ราว 3.8 แสนบาท) ต่อปี นั่นคือ รัฐบาลมาเลย์ต้องทำให้คนมีรายได้เพิ่มอีกคนละ 1,335 ดอลลาร์ (ราว 4.4 หมื่น) ต่อปี ซึ่งน่าจะทำได้อยู่แล้ว

ขณะที่ไทยหากจะก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง คนไทยต้องมีรายได้เพิ่มเฉลี่ยอีกคนละ 4,346 ดอลลาร์ หรือต้องเพิ่มอีก 1.43 แสนต่อปี

แต่สิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าก็คือ ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า เมื่อปี 2560 (คสช. ของพี่น้อง 3 ป. เข้ามายึดอำนาจตั้งแต่ปี 2557) คนไทยมีรายได้จากการทำงานเดือนละ 1.9 หมื่นบาท (นี่รวมดอกเบี้ย-โอทีแล้วนะ) หรือราว 2.3 แสนบาทต่อปี แต่ผ่านไป 5 ปี ตอนนี้คนไทยมีรายได้เฉลี่ยคนละ 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน หรือ 2.1 แสนบาทต่อปี (รวมสารพัดนโยบายแจกแหลกเอาไว้ด้วย) พูดง่าย ๆ ยิ่งมายิ่งจน อนิจจา นี่คือ คนไทยภายใต้ระบอบทหาร 3 ป.

กลับมาที่มาเลเซียกันต่อ ธนาคารโลกรายงานว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของมาเลเซียเกิดจากโมเดลที่เรียกว่า “การเติบโตที่ทุกคนมีส่วนแบ่งที่เที่ยงธรรม” ใครสนใจหาอ่านเพิ่มเติมได้

แต่นั่นล่ะ ด้านมืดก็มี คนมาเลย์รู้สึกว่า รัฐบาลเอื้อนายทุนมากกว่าประชาชน แต่ธนาคารโลกบอกว่า เมื่อคนมีรายได้มากขึ้น คนชั้นกลางมาเลย์นี่ล่ะ จะเรียกร้องรัฐบาลที่มีความรับผิดชอบและมีคุณภาพมากขึ้นด้วย รวมทั้งเรียกร้องให้เปลี่ยนรัฐบาลหากไม่เป็นไปตามที่คาดหวังบ่อยมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ย้อนมาดูไทย 8 ปีภายใต้รัฐบาลทหาร 3 ป. รัฐบาลกำลังจะทุ่มเงินอีกเป็นแสนล้านที่ไปกู้มาเพื่อเอามาทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือ “บัตรคนจน” จากเดิม 12 ล้าน เป็น 15 ล้าน และเข้าสู่ 20 ล้านคน เป็นข่าวดีที่ รัฐบาล 3 ป. จะหาเสียงกับคนจนได้มากขึ้นหากต้องเลือกตั้งใหม่ แต่คือข่าวร้ายของชาติอย่างแท้จริง

ถึงจุดที่ นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรกรมแห่งประเทศไทย 1 ใน 3 เสาหลักองค์กรภาคเอกชน สวมหัวใจสิงห์ ออกมาเรียกร้อง ให้มีการล้างไพ่การเมือง ด้วยการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ จะได้ปรับวิธีการทำงานใหม่ มีคนใหม่ ๆ เข้ามา โดยเชื่อว่า น่าจะเป็นผลดีต่อประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ เพราะอยู่ไปก็ไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว ?!?

นี่ถ้าไม่เหลืออดจริง ๆ เอกชนไหนก็เห็นแต่อวยรัฐบาลสุดลิ่มทิ่มประตู ใครอยากหาเหาใส่หัว ยิ่งกับนายกฯ ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ปากบอกพร้อมรับฟัง แต่ใครแหยมไปวิจารณ์โดนดีทุกราย ก็ไม่รู้นายสุพันธ์จะโดนอะไรบ้าง แต่นี่คือ เสียงที่มีค่ายิ่ง ให้รัฐบาลหันมามองตัวเองตามความเป็นจริง ไม่ใช่ฟังแต่เสียงป้อยอเชิดชูหลอกตัวเองไปวัน ๆ แต่ชาติกำลังพังยับ ล้มเหลวไปทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา คุณภาพชีวิตที่ทั้งทุกข์ยากและไร้อนาคตมากขึ้นทุกวัน

ลาวมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงไปแล้ว สินค้าเกษตรจีนกำลังเข้ามาถล่มตลาดไทย มาเลเซียก็กำลังจะก้าวไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง แล้วไทยล่ะ 8 ปี ระบอบทหาร 3 ป. พิสูจน์ฝีมือมานานพอหรือยัง

อย่าว่าแต่จะไปให้ถึงปี 2567 เลย แค่จะอยู่ครบเทอมปี 2566 ยังต้องถามเลย อยู่เพื่ออะไร นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะยอมแจกกล้วยจนครบ 260 เสียงหรือ ไม่รู้จริง ๆ หรือว่า ระบอบ 3 ป. อยู่ต่ออีกวัน ชาติก็ลงเหวลึกเพิ่มอีกวัน ถ้ามีจิตสำนึกอยู่บ้าง หยุดพายเรือแป๊ะที่มีแต่สนิมเกรอะเสียทีเถอะ

หรืออยากจมก้นทะเลไปพร้อมกัน ประชาชนจะได้ตาสว่าง ช่วยกันจารึกชื่อบนหนัง….แต่อย่าให้ถึงขนาดนั้นเลย ให้ประชาชนเค้ามีอนาคตบ้างเถอะนะ.

———————
ดาวประกายพรึก