“ช้างศึกหนุ่ม” ไปไม่ถึงทางฝันกับศึกชิงแชมป์อาเซียนรุ่น 23 ปี ทรรศนะแฟนบอลก็ต่างกันไป บ้างก็โอเค บ้างเหมือนอารมณ์ค้าง เพราะเราไปถึงรอบชิงฯ แต่ไม่ได้แชมป์ แถมในเส้นทางยังแพ้ เวียดนาม คู่รักอาเซียนทั้ง 2 ครั้ง

ด้วยโปรแกรมบอลภายในที่อีนุงตุงนัง สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เลยจัดชุดอายุไม่เกิน 19 ปี ไปฟาดแข้ง นำโดย ซัลบาดอร์ บาเลโร การ์เซีย กุนซือชาวสเปน ที่มาทำงานตั้งแต่จ้างเอคโคโน โดยทำกับบอลเด็ก อายุ 14-15 หนนี้ ซัลบาดอร์ จึงถือว่าเพิ่งมาสู่สปอตไลต์ของแฟนบอล

ผลงานชนะ สิงคโปร์ 3-1, แพ้ เวียดนาม 0-1, ชนะลาว 2-0 และแพ้เวียดนามสกอร์เดิม

ซัลบาดอร์ พยายามย้ำว่า การใช้เด็ก 19 ปี มาแบกอายุ ผลงานที่ออกมาจึงยอดเยี่ยมแล้ว เป้าหมายหลักคือบอลเยาวชนโลก ซึ่งเขาพูดประเด็นนี้บ่อยๆ ส่วนหนึ่งคือเป็นการลดแรงกดดันให้นักเตะ ก่อนชิงชนะเลิศก็บอกว่า มาแค่นี้ก็ทะลุฝัน จากนั้นมาพูดอีกทีหลังถึงไทยในข้อมูลว่า อายุเฉลี่ยเราน้อยกว่าเวียดนามถึง 3 ปี

ก็เป็นข้อเท็จจริง เราแบกอายุไป เป้าหมายไม่น่าจะอยู่ที่แชมป์ แต่คือการเก็บเลเวล ทว่าพอพูดบ่อยๆ ย้ำบ่อยๆ ก็มีแฟนบอลคอมเมนต์ว่า จะแก้ตัวอะไรกันนักหนา

จริงๆ นัดแรกที่ชนะ สิงคโปร์ มีกระแสชื่นชมซัลบาบานทุ่ง จนงงๆ เหมือนกัน บอลนัดเดียว ถูกเปลี่ยนเป็นเทพซะแล้ว

ช้างศึก ใช้เด็กอายุน้อยกว่าก็จริง นั่นคือ “แต้ม” ที่เรายินดี “ต่อ” ให้คู่แข่ง แต่อย่าลืมว่าในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ละทีมก็ส่ง “แต้มต่อ” นั้นคืนเพราะ “โควิด-19”

ทุกทีมที่ ไทย แข่งด้วย ล้วนอ่วมจากโควิด นัดแรก สิงคโปร์ เหลือ17 คน, เวียดนาม รอบแรก มี 16 คน, รอบรองฯ เตะกับลาว มี 16 คน และรอบชิงฯ เวียดนาม 17 คน

ทัพดาวทอง เห็นไทยบอกว่าใช้ชุดเล็กมาเตะ เขาก็อ้างได้บ้างว่า ทีมเล่นแบบไม่สมประกอบ วิกฤติตลอดงาน ต้องเรียกตัวเสริมเรื่อยๆ รอบรองฯ กับ ติมอร์เลสเต เหลือ 13 คน มีสำรอง 2 แถมเตะ 120 นาที สภาพแบบนี้ ยังย้ำแค้นไทยได้

ส่วนทีมชาติไทย รอดมาตลอด จนกระทั่งเฮือกสุดท้ายก่อนรอบชิงฯ ไปแจ๊กพอตแตก โดนไป 11 คน เป็นนักเตะซะ 8 เหลือ 20 คน แต่ถือว่ายังติดกันน้อย เมื่อเทียบกับ เวียดนาม ที่โงนเงนๆ จะถอนทีมเต็มที

จริงๆ ช้างศึก มีนักเตะที่มีปัญหาโควิดตั้งแต่วันเดินทาง ที่มีคนตรวจไม่ผ่าน ก่อนตามไปสมทบ แต่สื่อสมาคมฯ ไม่ได้เปิดเผย (ทั้งที่ ซัลบาดอร์ ให้สัมภาษณ์เองแบบไม่ปิดบัง) รวมทั้งวันรอบชิงฯ ไม่ได้บอกตัวเลขชัดเจน แค่บอกว่ามีติดจำนวนหนึ่ง

ในยุคที่ติดโควิดใกล้เป็นเรื่องปกติเต็มตัว เป็นนิวนอร์มัลของจริง ทุกทีมทั่วโลก ติดกี่คนก็แจ้งกันตรงๆ เผลอๆ บอกชื่อคนติด รวมทั้งในชิงแชมป์อาเซียน ข่าวจากทีมอื่นก็ชัดเจนว่า ติดกันแค่ไหนยังไง

แต่ดูเหมือน สื่อสมาคมบอลไทยยังอายที่นักเตะทีมชาติไทยติดโควิด หรือไม่ก็คงรอบคอบสุดๆ กลัวความลับรั่วไหล คู่แข่งจะมาแก้ลำ เลยไม่บอกใครดีกว่า

จริงๆ ต้องชื่นชมการบริหารจัดการของทีมชาติไทยชุดนี้ ท่ามกลางทีมรอบด้านที่ “เกม” กันระนาว เรายังประคองมาได้

ทราบมาว่า เด็กๆ ชุดนี้ค่อนข้างมีวินัยในมาตรการป้องกัน พกแอลกอฮอล์ติดมือ ไม่ค่อยรวมกลุ่มเล่นอะไรกันมาก แยกย้ายห้องใครห้องมัน พอเริ่มมีข่าวว่าหลายทีมติดโควิด ก็ให้แยกกันทานข้าวตามแต่ละห้อง นอนกันห้องละคน ที่โรงแรมอาจมีไปมาหาสู่กันบ้าง เคาะห้องถามนู่นนี่ ทักทายแล้วไป ไม่ไปนั่งจับกลุ่ม ลดโอกาสแพร่เชื้อ ดังนั้นเวลาที่จะเจอกันประชิดๆ จึงมีแค่ตอนซ้อม กับตอนแข่ง

ต้องปรบมือให้นักเตะ และทีมงาน ที่จัดการได้ดี ส่วนที่ติดเชื้อมานั้นสุดวิสัยจริงๆ เพราะแต่ละนัดเราต้องลงแข่งกับทีมที่มีเชื้อแพร่กระจาย

ถือเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะหากโควิดระบาด อันนี้งานงอก ส่งผลเสียอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน สำหรับเกมฟุตบอลยุคนี้

ข้อแรกคือถ้าตัวไม่พอก็ต้องถอน เสียงบประมาณ ซ้อมกันฟรี เสียเวลาฟรี, ข้อสองตัวเหลือน้อย สำรองมีน้อย นักเตะอ่อนล้า และข้อสามคือ ถึงตัวพอ แต่แทคติกที่เตรียมมาไม่ว่าจะดีเลิศแค่ไหนก็ต้องล่ม ซ้อมมาไม่มีประโยชน์ ต้องบริหารจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กองหน้าไปกองหลัง กองหลังไปกองกลาง หรือเล่นโกลไปเลย ให้มันครบๆ ทีมไปก่อน เหมือนเราส่งทีมแข่งบอล แล้วลุ้นว่าพรรคพวกจะมาครบไหมนัดนี้

กับทีมชาติไทย มีบทเรียนราคาแพงมาแล้วจากฟุตบอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย ที่แข่งไป ลุ้นคนติดโควิดไป จนมาถึงรายการ 23 ปีชิงแชมป์อาเซียน ที่แทบทุกทีมเจอปัญหา ถอนทีมไป 2

แม้โควิดกับมนุษย์ จะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ยังเป็นโจทย์ข้อใหม่ และข้อใหญ่เป้งๆ ของฟุตบอลยุคปัจจุบัน นอกจากนักเตะดี ซ้อมดี เตรียมตัวดี มันยังไม่พอ ปลายทางต้องมีมาตรการป้องกันเชื้อแบบขั้นสุด

มิเช่นนั้นถ้าโดนโควิดเจาะเข้ามาเมื่อใด ความตั้งใจทุ่มเท สิ่งเตรียมตัว เลือดตาแทบกระเด็นนับแรมปี ก็แทบสูญเปล่าทันที.

*** วุฒินล ***