โดยมีการชู “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของ ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ

ในวันนี้ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” จึงถือโอกาสมาสนทนากับ ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เพื่อถอดรหัสความเคลื่อนไหวทางการเมือง จากแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย” ที่พรรคเพื่อไทยมองว่า เป็นกลยุทธที่จะทำให้สามารถชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์

โดย “ดร.เจษฏ์” เปิดฉากกล่าวว่า จากการเสนอแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย” หรือการให้ น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะนำมาซึ่งผลลัพธ์อย่างไร มีการวางยุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ในรูปแบบไหนบ้าง เพียงแต่ว่า เมื่อมองเทียบกันกับบรรดาธุรกิจต่าง ๆ โดยทั่วไปถ้าสังเกตดู เวลาที่ นายทักษิณ วางแผนอะไร มักจะวางไว้บนลักษณะที่เทียบเคียงกันได้กับธุรกิจ ซึ่งในลักษณะการทำเป็นครอบครัวเพื่อไทย อาจจะเป็นอีกหนึ่งบริบทของธุรกิจที่เอามาเชื่อมโยงกับการเมือง เหมือนเวลาธุรกิจไหนที่บอกว่า เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ดูแลคุณดุจญาติมิตร เป็นต้น ซึ่งอย่างน้อยการนำเสนอเรื่องความเป็นครอบครัวก่อน และวางลูกสาวที่เป็นเหมือนตัวแทนของนายทักษิณ ทำหน้าที่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย

“นี่คือการนำเสนอรูปแบบใหม่ หลังจากนี้จะจัดวาง น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ จะจัดวางเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคหรือไม่ก็ไม่ทราบ หรือจะทำอะไรต่อไป แต่ตอนนี้เหมือนกับเป็นการโยนหินไปเป็นลำดับ ๆ หินก้อนแรกคือ ครอบครัวเพื่อไทย หินก้อนที่สองคือ น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย หินก้อนต่อมาอาจจะเป็นว่า นายทักษิณเคลื่อนไหวอย่างไรในครอบครัวนี้ หินก้อนต่อมาอาจจะมีการยั่วเย้ายั่วยุว่า ลักษณะแบบนี้เป็นการควบคุมหรือชี้นำอะไรหรือไม่ อันนี้อาจจะเป็นการท้าทายกฎหมายว่า ที่ว่าไม่ให้คนนอกเข้ามาควบคุมครอบงำชี้นำคืออะไร ในเมื่อนี่คือครอบครัว”

หรือสุดท้ายอาจจะมีพลวัตร โดยเสนอแบบนี้ก่อน เมื่อสังคมตอบรับดีก็อาจเสนอให้มีการเลือกตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่ก็ได้ ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะสรุป แต่ตนเชื่อว่านี่คือบริบทเริ่มต้น แต่เป็นวิธีคิดในกลไกธุรกิจในแบบที่นายทักษิณถนัด ที่จะนำมันเข้ามาสู่วงการเมือง

@การที่พรรคเพื่อไทยจะสามารถชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ได้ ยังมีโจทย์อะไรอีกหรือไม่

ยังมีอยู่ คือตอนนี้ถ้าบอกว่าในฐานะแชมป์เก่าในการเลือกตั้งทุกสมัย แม้แต่การเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคเพื่อไทยมีสิ่งที่เป็นปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญ คือ 1.ระบบเลือกตั้ง ซึ่งในเรื่องระบบเลือกตั้ง ถ้ามองโดยรวมน่าจะเป็นประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยสูงสุด 2.จะจัดวางกำลังภายในพรรคอย่างไร เนื่องจากว่ามีพรรคที่แตกออกไปทั้งโดยตั้งใจ และที่แตกออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจอีกหลายพรรค ก็ต้องดูว่าจะจัดคนอย่างไรให้ได้เปรียบในบริบทนี้ 3.การเสนอแคมเปญครอบครัวเพื่อไทย ท้ายที่สุดจะไปที่ไหนยังไม่รู้ แต่ต้องวัดได้ในเชิงตัวเลข ว่ามีคนตอบรับตอบสนองสูงต่ำอย่างไร ในแต่ละพื้นที่คนรู้สึกอินกับข้อเสนอนี้มากน้อยแค่ไหน 4.บรรดาพรรคที่อาจจะเป็นพันธมิตรกัน หากกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้ชนะเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ หรือต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด มีพรรคมาร่วมรัฐบาล อันนี้ต้องมองแล้วว่า ใครที่จะเป็นพรรคที่เป็นพันธมิตร แล้วใครที่จะเป็นคู่แข่ง ซึ่งอาจจะกลายเป็นว่ามีพันธมิตรที่เป็นคู่แข่ง อย่างพรรคก้าวไกล เพราะมีข้อเสนอเหมือนกัน หรืออาจจะมีคู่แข่งที่กลายเป็นพันธมิตร อย่างพรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจจะเป็นพันธมิตรกันได้ ต้องดูตรงนั้น หากพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ได้เกิน 250 เสียง ก็มีเสถียรภาพสูง แต่หากเสียงไม่ถึง 250 ก็อาจจะต้องรวมกับพรรคอื่น และ 5. คือเรื่องยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง

@การเปิดตัว น.ส.แพทองธาร ทำให้กระแสตีกลับไปยังนายทักษิณ ถือเป็นดาบสองคมหรือไม่

สิ่งที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยมีปัญหาก็คือ ยกเรื่องในอดีตของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเรื่องที่สะท้อนอยู่ในตัว น.ส.แพทองธาร ทั้งสิ่งที่ผูกติดมากับครอบครัว หรือทีมบริหารเดิม ก็อาจจะเป็นได้ แต่คนจะสนใจเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ก็ไม่แน่ เพราะคนอาจจะคิดว่า ทุกรัฐบาลก็มีการทุจริต แต่เลือกคนที่ทำให้เศรษฐกิจดี ดีกว่า คนที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ จึงไม่เลือก หากคนไทยส่วนใหญ่คิดแบบนี้ คนอาจจะไม่สนใจเรื่องที่นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าเคยโดนคดีทุจริตมา ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นดาบสองคม แต่คมที่จะย้อนกลับหาเขา อาจจะไม่คมเท่าคมที่จะฟันไปที่คนอื่นก็เป็นได้

@ตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เป็นการปูทางไปสู่การเป็นแคนดิเดตนายกฯ หญิงคนที่สอง ได้หรือไม่

“สามารถเป็นได้หมด อาจจะไปจนถึงขั้นนายกฯ หญิงก็ได้ หากเสียงตอบรับมาดี และหากบรรดาพรรคที่เป็นคู่แข่งไม่มีอะไรมาก บรรดาพรรคที่เป็นพันธมิตร ไม่ได้ขี่กัน ไม่ได้กินกันในแต่ละเขต เขาก็มีโอกาส ส่วนคนที่ตั้งข้อสังเกตว่า น.ส.แพทองธาร อาจจะทำไม่ได้ ความสามารถยังสู้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ อันนี้เป็นลำดับรอง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของเสียง เอาเสียงเป็นตัววัด”

@เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตว่า การที่คนตระกูลชินวัตรกลับเข้ามาสู่วงจรการเมือง อาจจะทำให้ประเทศไทยกลับสู่วังวนของการปฏิวัติรัฐประหารแบบเดิมหรือไม่

คิดว่ามีโอกาส เนื่องจากสาเหตุ คือ 1.นายทักษิณ ไม่เคยหายไปไหน ยังเกาะกระแสการเมืองไทยตลอดเวลา ตอนนี้กำลังมีโอกาสที่จะส่งใครลงมา อาจจะใช้โอกาสนี้หรือไม่ก็ยังไม่แน่ 2.ในแง่ของการเช็กบิล ทหารคงคิดแล้วว่า หากคุณทักษิณจะเช็กบิลใครสักคน ก็จะต้องเช็กบิลทหาร อาจจะเช็กบิล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือจะเช็กบิลใครต่อใครก็เป็นไปได้ หากเขาได้เป็นรัฐบาล 3.การประพฤติทุจริตประพฤติมิชอบของรัฐบาล เมื่อคนที่มีประสบการณ์เข้ามา ซึ่งอาจจะมีการหาหลักฐานมาเอาผิดได้ และอาจจะมีการส่งสัญญาณถึงทหาร

“แต่สัญญาณที่จะทำให้ทหารออกมาทำปฏิวัติรัฐประหารได้ ต้องเป็นสัญญาณที่หนักหน่วงมาก และคงต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าเรื่องที่บรรดาอดีต คสช. จะโดนเช็กบิล”

สุดท้ายนี้ ดร.เจษฎ์ ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้อีกว่า “จริง ๆ ไม่แน่เรื่องนี้อาจจะเป็นการแหย่ก็ได้ หรืออาจจะเป็นเรื่องเป้าลวง เพราะจริง ๆ แล้ว นายทักษิณลูกเล่นเยอะ อาจจะเอา น.ส.แพทองธาร มาเป็นเป้าลวง ให้คนคิดว่าจะมาอีกแล้ว แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า คนที่จะเอาจริงโผล่ขึ้นมา กลายเป็นการพลิกไปคนละแบบเลยก็เป็นได้”.