ว่ากันว่าเกมแรกที่กลับมาจากช่วงเบรกทีมชาติ มักจะเป็นเกมที่บรรดาทีมใหญ่มักจะออกอาการสะดุดเสมอ…

และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ลิเวอร์พูล ในเกมเปิดบ้านรับมือ วัตฟอร์ด เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ยังดีที่ลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ยังดีพอที่จะเอาชนะ แม้จะไม่ใช่ฟอร์มที่ดีนักก็ตาม

11 ตัวจริงในสเกมนี้ คลอปป์ มีการปรับในบางตำแหน่ง เพราะนอกจากหลายคนจะกรำศึกต่อเนื่องกับทีมชาติมาจากช่วง ฟีฟ่า เดย์ แล้ว กลางสัปดาห์ยังมีเกมสำคัญกับ เบนฟิกา ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก รออยู่ในวันอังคาร ต่อด้วยเกมนัดสำคัญที่สุดในลีก กับการบุกไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี ในสุดสัปดาห์หน้า

ดังนั้น เราจึงจะได้เห็นตัวหลักอย่าง ซาดิโอ มาเน และ ฟาบินโญ มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรอง เช่นเดียวกับในรายของ หลุยส์ ดิอาซ ที่บินไกลไปรับใช้ทีมชาติโคลอมเบีย ขณะที่ตำแหน่งแบ๊กขวา เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ หายเจ็บแล้ว แต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีชื่อแค่บนม้านั่งสำรอง ทำให้ โจ โกเมซ ได้ออกสตาร์ในเกมลีกเป็นครั้งที่ 2 ในฤดูกาลนี้

และอย่างที่จั่วไว้ข้างต้น เกมแรกหลังกลับมาจากทีมชาติ เครื่องมักออกอาการสะดุดสำหรับพวกทีมใหญ่ ๆ เกมนี้ “หงส์แดง” ไม่ได้ครองเกมเหนือกว่า “แตนอาละวาด” ผู้มาเยือนแบบเบ็ดเสร็จอย่างที่หลายคนคาดหวังจะได้เห็น แต่กระนั้นก็ยังมาได้ประตูนำก่อน 1-0 ในครึ่งแรก ากจังหวะที่ โกเมซ สวมวิญญาณ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ครอสบอลจากริมเส้นชนิดน้ำหนักชั่งเมื่อเช้า และเป็น ดีโอโก โชตา โฉบโห่ม่งตัดหน้า เบน ฟอสเตอร์ เข้าหน้าต่างเสาไกลในนาทีที่ 22

นับเป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยมต่อเนื่องของดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส ต่อจากการทำ 2 แอสซิสต์ให้ บรูโน แฟร์นันด์ส ในสีเสื้อทีมชาติโปรตุเกส ช่วยให้ทีมทุบ นอร์ธ มาเซโดเนีย คว้าตั๋วไปบอลโลก นี่คือประตูที่ 20 ของเขากับ “หงส์แดง” ในทุกรายการซีซั่นนี้ และเป็นประตูที่ 3 จาก 3 เกมหลังสุด

ครึ่งหลัง “แตนอาละวาด” เริ่มมีเถียง ขณะที่ “หงส์แดง” ไม่ดุดันอย่างที่หลายคนคาดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เห็นได้ชัดว่าความเหนื่อยล้าและผิดหวังกับทีมชาติอียิปต์ ส่งผลต่อสภาพจิตใจและฟอร์มการเล่นอย่างชัดเจน ก่อนที่สุดท้ายจะโดนเปลี่ยนออก

แต่สุดท้าย ทีมเยือนก็ไม่มีทีเด็ดเพียงพอที่จะเล่นงาน “หงส์แดง” ให้หลายท้องได้ และเมื่อ ยูราย คุชกา แท็ก โชตา ร่วงในกรอบเขตโทษยังกะรักบี้จนเป็นจุดโทษในช่วงท้ายเกม และ ฟาบินโญ สังหารนิ่ม ๆ เข้าไป 3 คะแนนจึงเป็นของ ลิเวอร์พูล อย่างเด็ดขาด

3 คะแนนที่แอนฟิลด์ เมื่อวันเสาร์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ซึ่งช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมาเคยตามหลัง แมนฯ ซิตี ถึง 14 คะแนนนั้น ขยับแซงขึ้นไปเป็นจ่าฝูงชั่วคราว โดยแซง “เรือใบสีฟ้า” ขึ้นไป 2 แต้ม ซึ่งถือเป็นการรั้งจ่าฝูงครั้งแรกของทีมนับตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่ราว ๆ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ถัดมา ลูกทีมของ เปป กวาร์ดิโอลา ก็ทวงจ่าฝูงคืนจากการบุกทุบ เบิร์นลีย์ แบบนิ่ม ๆ 2-0 แซงกลับขึ้นไปนำ 1 แต้มเหมือนเดิม

นั่นหมายความว่าหลังจบเกมนี้ สถานการณ์ในการลุ้นแชมป์ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ลิเวอร์พูล ยังคงตามหลัง แมนฯ ซิตี 1 แต้ม ขณะที่เหลือเกมอีก 8 นัด

และหลังจากนี้ ทั้งคู่มีเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก รออยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ ก่อนที่ในช่วงสุดสัปดาห์หน้า ลิเวอร์พูล จะบุกไปเยือน แมนฯ ซิตี ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ซึ่งแน่นอนว่านี่คือเกมสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราได้เห็นหน้าเห็นหลังว่าแชมป์ซีซั่นนี้จะเป็นทีมไหน

ว่าแล้วก็อยากให้ถึงวันที่ 10 เม.ย. เร็ว ๆ … !!!

/////////////////////////////

สถิติที่น่าสนใจจากเกม ลิเวอร์พูล – วัตฟอร์ด

  • ลิเวอร์พูล เอาชนะ วัตฟอร์ด ในเกมลีกที่แอนฟิลด์เป็นนัดที่ 7 ติดต่อกัน ยิงไป 24 ลูก โดนเจาะตาข่ายไปแค่ประตูเดียว มีแค่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส (10 นัด) และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด (8 นัด) เท่านั้น ที่บุกแพ้ที่แอนฟลิด์ในเกมลีกต่อเนื่องกันนานกว่า
  • ในการพบกันในเกมลีก 11 นัดหลังสุด วัตฟอร์ด เก็บแต้มจาก ลิเวอร์พูล ได้แค่ 4 คะแนนจากทั้งหมด 33 แต้ม (ชนะ 1 เสมอ 1 แพ้ 9)
  • ลิเวอร์พูล ชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 5 ในประวัติศาสตร์สโมสรที่ชนะเกมลีก 10 นัดติด และเป็นสถิติสูงสุดของลีกเท่ากับ แมนฯ ซิตี ที่เคนชนะในลีก 10 เกมติด 5 ครั้งเช่นกัน
  • ลิเวอร์พูล เก็บคลีนชีตในเกมลีก 5 นัดติดได้เป็นครั้งที่ 2 ในยุคของ เจอร์เกน คลอปป์ โดยก่อนหน้านี้ทำได้ 7 นัดติดในช่วงเดือนมกราคม 2020
  • ดีโอโก โชตา ยิงได้ในเกมลีกเมื่อไหร่ ทีมไม่แพ้เป็นเกมที่ 32 ติดต่อกัน (ชนะ 27 แพ้ 5 นับรวมไปถึงช่วงที่อยู่กับ วูล์ฟแฮมป์ตัน) เป็นรองแค่ เจมส์ มิลเนอร์ (54 นั), ดาริอุส วาสเซลล์ (46 นัด) และ กาเบรียล เชซุส (44 นัด) เท่านั้น
  • ในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ไม่มีนักเตะคนไหนที่ยิงประตูแรกของเกมได้มากกว่า ดีโอโก โชตา และทั้ง 6 เกมที่เขายิงลูกแรกได้ “หงส์แดง” เดินหน้าเก็บชัยชนะได้ทั้งหมด