หนักหนาสาหัสจริง ๆ ประเทศไทยในเวลานี้ คนนอนตายคาบ้าน คนนอนตายคาถนน มีให้เห็นมากขึ้นทุกวันทุกวัน แถมจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อ หรือผู้เสียชีวิต ก็ยังกดไม่ลง

แม้ผ่านการล็อกดาวน์มาแล้วถึง 14 วัน นับตั้งแต่การล็อกดาวน์ครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์กลับเลวร้าย ไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่รัฐบาลตั้งความหวังไว้

ต่อให้ “บิ๊กตู่” ออกคำสั่ง ห้ามโยน-ห้ามเกี่ยง” ทุกหน่วยงานต้องรับผู้ป่วยหนักจากโควิด มารักษาพยาบาลให้ได้ ห้ามไม่ให้มีคนตายคาบ้านอีกเด็ดขาด!!

ด้วยสถานการณ์ในเวลานี้ ต่อให้นายกฯสั่งเข้มยังไง เชื่อเถอะคนทำงาน หรือผู้ปฏิบัติ ก็คงทำตามไม่ได้ ในเมื่อผู้ติดเชื้อ “ล้น” เกินกว่าที่ “ระบบ” จะรองรับได้ ทั้งเตียง ทั้งสถานพยาบาล ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล ทั้งด่านหน้า ที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุด!! บรรดาหน่วยงานราชการ ต่างระดมสรรพกำลังให้หน่วยงานในสังกัด เร่งหาที่ เร่งหาตึก เร่งหาพื้นที่ เพื่อปรับเป็นสถานที่พักคอยให้กับผู้ติดเชื้อในระดับสีเขียว หรือถ้าเหมาะสม ก็ปรับเป็น รพ.สนาม

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังหนักหนาสาหัสอยู่ในเวลานี้ ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยแน่นอน หลายสำนักกางแผนกันออกมาแล้วว่าสาหัสแน่ ถ้าเอาไม่อยู่!! จากที่เคยวาดฝันไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าเศรษฐกิจไทยย่อมต้องดีขึ้นในปีนี้ สุดท้ายอาจหดตัวจนติดลบก็เป็นไปได้

การเยียวยาของรัฐบาล ก็อาจไม่เป็นผลที่จะกระตุ้นกำลังซื้อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเพื่อพยุงไม่ให้เศรษฐกิจซบเซา ต่อให้แนวโน้มการส่งออกเริ่มมีความหวัง เห็นแสงสว่างกันบ้างก็ตาม

ยิ่งเข้าสู่การล็อกดาวน์ วิถีชีวิตการ “ใช้เงิน” ของคนไทยก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน ที่ นายกฯ บิ๊กตู่ จะมีคำสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหาแนวทางปรับปรุงมาตรการต่าง ๆ ที่ออกไปแล้วให้ทันกับสถานการณ์

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการขวัญใจคนไทย อย่าง “คนละครึ่ง” หรือยิ่งใช้ยิ่งได้ หรือแม้แต่ความเป็นไปได้ในการฟื้นชีพโครงการ ช้อปดีมีคืน”กันขึ้นมาใหม่

หากจำกันได้!! ก่อนหน้านี้ บรรดาภาคเอกชนต่างออกมาเรียกร้องให้รัฐบาล “อัดเงิน” ในสารพัดโครงการเยียวยา ให้มากขึ้นอีกเท่าตัว เพื่อให้มีเงินในระบบเศรษฐกิจมากพอที่จะรับมือกับสารพันปัญหาที่เกิดขึ้น

อย่างน้อยในโครงการชอปดีมีคืน ถ้าเพิ่มเติมให้เป็น 1 แสนบาท ก็จะมีเงินหมุนเวียนในระบบถึง 1 แสนล้านบาทภายใน 3 เดือน หรือภายในหนึ่งไตรมาส

หรือหากเป็นการเพิ่มเงินในโครงการคนละครึ่ง ถ้าเพิ่มเป็น 6,000 บาท ต่อคน เท่ากับว่ามีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้น จาก 90,000 ล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาททีเดียว

สุดท้าย รัฐบาลเลือกที่จะจ่ายให้ “เท่าเดิม” โดยเฉพาะในโครงการ “คนละครึ่ง” ขณะที่การปั้นโครงการใหม่อย่าง “ยิ่งใช้ยิ่งได้” ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ด้วยระบบการใช้ค่อนข้างยาก จึงทำให้เงินสะพัดไม่ได้ดั่งใจ

ขณะที่สารพัดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลก็มีมากมาย แต่รายได้กลับไม่มีเข้ากระเป๋า ต้องกู้แล้วกู้อีก เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปให้ได้ การให้เทเงินลงไปหนัก ๆ คงทำไม่ได้แน่นอน

ในเวลานี้ทุกคนต้องอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ การจับจ่ายใช้สอยก็หนีไม่พ้นที่ต้องพึ่งพา การชอปปิงออนไลน์ หรือฟู้ดดิลิเวอรี่ ด้วยเหตุนี้เพื่อไม่ให้การใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ต้องหยุดชะงักไปด้วยมาตรการล็อคดาวน์  “ไอเดีย” การเปิดโอกาสให้ใช้ผ่านระบบออนไลน์ก็บังเกิด

โดยล่าสุด กระทรวงการคลังที่รับผิดชอบโปรเจคท์นี้โดยตรง ก็เรียกบรรดาแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรี่  มาถก มาวางระบบรองรับการเข้าสู่โครงการคนละครึ่ง เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม

คาดกันว่า… ภายในเดือน ต.ค.นี้ หรือต้นปีงบประมาณ 65 พี่น้องคนไทยสามารถใช้โครงการคนละครึ่งกับร้านดิลิเวอรี่ต่าง ๆ ได้แน่นอน ซึ่งก็ตรงกับช่วงที่รัฐบาลเค้าจะโอนเงินเข้า “เป๋าตัง” ในรอบที่ 2 อีกวงเงิน 1,500 บาทนั่นแหละ

ดูระยะเวลากับเป้าหมายของการปรับรูปแบบของมาตรการ เชื่อได้ว่าอาจทำให้หลายคนไม่สบายใจนักเท่าไหร่!! เพราะเท่ากับว่าต้องใช้เวลาอีก 2 เดือน หากคิดง่าย ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก หมายความว่า สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นหรือ?

ส่วนการฟื้น “ช้อปดีมีคืน” อาจต้องหาวเรอรอไปก่อน เพราะกระทรวงการคลังเค้าย้ำชัดเจนว่า อาจเป็นโครงการที่รองรับหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ซึ่งก็ยังไม่มีใครบอกได้เช่นกันว่า…เมื่อไหร่?

เอาเป็นว่า …ณ เวลานี้คนไทยทั้งประเทศมาร่วมด้วยช่วยกันรักษาตัวเองแบบเข้มงวดสูงสุด อย่างน้อย…ก็เพื่อรักษาชีวิตของตัวเองให้ อยู่รอดปลอดภัยให้ได้กันก่อนดีกว่า!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”