ไม่เคยหยุดสร้างสีสันอันแปลกใหม่ให้กับวงการเพลง สำหรับบอยแบนด์หน้าใส “เอ็นซีที ดรีม (NCT DREAM)” ที่ครั้งนี้พวกเขาได้พาทุกคนเข้าสู่ “โหมดติดเพลง” ด้วยอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 “กลิตช์ โหมด (Glitch Mode)” แถมยังมียอดสั่งจองอัลบั้มล่วงหน้าทะลุ 2,030,539 ชุด (ณ วันที่ 27 มีนาคม 2022) จากเดิมที่สถิติที่ดีที่สุดของ “เอ็นซีที ดรีม” เคยอยู่ที่ 1.71 ล้านชุด ทำให้ครั้งนี้พวกเขาได้สร้างสถิติใหม่ของวง พร้อมขึ้นแท่นเป็น “Double million seller” หรือ “ศิลปินที่มียอดจำหน่ายอัลบั้มสองล้านชุด” ตั้งแต่ก่อนคัมแบ๊กอย่างเป็นทางการซะอีก ซึ่งอัลบั้มดังกล่าวมีเพลงไตเติลได้แก่ “กลิตช์ โหมด” เพลงแนวแดนซ์ ฮิปฮอป ที่โดดเด่นด้วยการบรรเลงอินโทรและเบส 808 แบบไดนามิก ซึ่งฟังครั้งแรกก็ติดหู มาพร้อมเนื้อเพลงที่บรรยายถึงคนที่ตัวแข็งราวกับหยุดชะงัก หรือการติดบัฟเฟอริ่ง (Buffering) เมื่อเจอคนที่ชอบ นอกจากนี้ มาร์ค (MARK) หนึ่งในสมาชิกวง ยังมีส่วนร่วมในการแต่งท่อนแร็พอีกด้วย

รวมทั้งในอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ยังมีให้เลือกฟังถึง 11 เพลง ทั้งเพลงไตเติล “Glitch Mode”, เพลง “Fire Alarm”, เพลง “Arcade”, เพลง “It’s Yours”, เพลง “Teddy Bear”, เพลง “Replay”, เพลง “Saturday Drip”, เพลง “Better Than Gold”, เพลง “Drive”, เพลง “Never Goodbye” และเพลง “Rewind” ซึ่งแต่ละเพลงล้วนมีเสน่ห์ที่หลากหลายและแต่งต่างกัน และล่าสุด “ฮาอึน” มีโอกาสได้ร่วมงานแถลงข่าวออนไลน์เปิดตัวอัลบั้มนี้ พร้อมพูดคุยกับทั้ง 7 หนุ่ม สมาชิก นำโดย มาร์ค (MARK), เจโน่ (JENO), แจมิน (JAEMIN), จีซอง (JISUNG), แฮชาน (HAECHAN), เฉินเล่อ (CHENLE) และ เหรินจวิ้น (RENJUN) เกี่ยวกับการทำงานครั้งนี้มาฝากเหล่า “เอ็นซิทิเซ่น(NCTzen ชื่อแฟนคลับ)  ชาวไทยกัน

 Q : อยากให้เล่าถึงอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 “Glitch Mode” หน่อย?

มาร์ค  : สำหรับ ‘กลิตช์ โหมด (Glitch Mode)’ เป็นอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของเอ็นซีที ดรีม ครับ โดยจะมีทั้งหมด 11 เพลง รวมถึงเพลงไตเติล ‘กลิตช์ โหมด’ พวกเราได้รับกระแสตอบรับมากมายในเชิงบวกสำหรับอัลบั้มเต็มชุดแรก และอยากแสดงให้เห็นถึงเวอร์ชั่นที่อัพเกรดของพวกเราเมื่อเทียบกับตอนนั้น ดังนั้นพวกเราทุกคนจึงทำงานหนักยิ่งขึ้นในอัลบั้มนี้ ผมหวังว่าแฟน ๆ จะเพลิดเพลินไปกับการฟังเพลงในอัลบั้มนี้ รวมถึงช่วยมอบความรักและสนับสนุนพวกเราต่อไปด้วยนะครับ

Q :  ก่อนการคัมแบ๊ก คุณได้ทำลายสถิติของตัวเอง พร้อมได้รับสถานะว่าที่ “Double Million Seller” รู้สึกยังไงบ้างกับความสำเร็จ และสถิติสูงสุดในเส้นทางนี้?

เจโน่  : ผมรู้สึกขอบคุณมาก ๆ สำหรับความรักที่แฟน ๆ มอบให้กับพวกเราในอัลบั้มเต็มชุดแรก และผมขอขอบคุณจากใจจริง สำหรับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องในอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ครับ ผมรู้สึกเซอร์ไพร้ส์เมื่อได้ยินเกี่ยวกับยอดสั่งจองอัลบั้มของเรา มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยครับ แต่ก็รู้สึกดีและมอบพลังให้กับผมมาก ๆ ครับ พวกเราจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้แฟน ๆ ของเรารู้สึกผิดหวัง และเพื่อให้สมกับความเชื่อมั่นที่แฟน ๆ มีให้กับพวกเราครับ รวมถึงจะทำงานให้หนักขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนด้วยการแสดงด้านที่ยอดเยี่ยมของพวกเราครับ หวังว่าทุกคนจะคอยติดตามกันนะครับ

Q : ทำไมถึงเลือกให้ ‘Glitch Mode’ เป็นเพลงไตเติล ตอนที่ได้ฟังครั้งแรกรู้สึกอย่างไรบ้าง?

เจโน่  :   ด้วยตัวคอนเซปต์ของเพลงค่อนข้างชัดเจน และเข้ากันได้ดีกับธีมของอัลบั้ม ‘กลิตช์ โหมด’ ครับ นอกเหนือจากนั้น ก็ยังมีองค์ประกอบมากมายที่น่าสนุก ซึ่งเราสามารถนำไปถ่ายทอดในการแสดงบนเวทีได้ครับ และตัวเพลงเองก็มีความสนุกสนาน มีลูกเล่น เลยเป็นเหตุผลที่พวกเราเลือกให้เป็นเพลงไตเติลครับ ตั้งแต่ได้ยินเพลงนี้ครั้งแรก ผมก็มีภาพในหัวเลยครับว่า เราควรจะถ่ายทอดออกมาอย่างไร สมาชิกทุกคนใช้เวลาอย่างมากในการใส่ใจทุ่มเท เพื่อถ่ายทอดท่าเต้นออกมาให้ดีที่สุดครับ

จีซอง  สมาชิกต่างก็บอกกันว่า เป็นเพลงที่สามารถติดหูได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ฟัง ผมเองก็ชอบที่หลาย ๆ ท่อนของเพลงนั้น ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีผ่านท่าเต้นครับ

Q : เล่าถึงเพลงไตเติล ‘Glitch Mode’ หน่อย?

แฮชาน  : สำหรับ ‘กลิตช์ โหมด’ เป็นเพลงแนว Hip-Hop Dance ที่น่าประทับใจ พร้อมกับการร้องและเนื้อเพลงที่มีเอกลักษณ์ในท่อนคอรัสครับ เป็นเพลงที่ติดหูมาก ๆ จนหยุดนึกถึงไม่ได้ หลังจากฟังแค่เพียงครั้งเดียวครับ ผมเชื่อว่าเป็นเพลงที่เหมาะกับพวกเราสุด ๆ ครับ อาจจะเพราะนักแต่งเพลงนึกถึงพวกเราขณะแต่งเพลงไปด้วยครับ โดยเนื้อเพลงบรรยายอย่างมีลูกเล่นเกี่ยวกับ ช่วงเวลาที่ตัวแข็งราวกับหยุดชะงัก เมื่อเจอคนที่ชอบครับ

Q : การแสดงแบบไหน ที่คุณอยากจะแสดงให้เห็น?

จีซอง : การออกแบบท่าเต้นที่สอดคล้องไปกับคีย์เวิร์ดของเพลง เช่น “Lagging”, “Error”, “Electric Shock” และท่าเต้นสำคัญ คือ ท่าที่แสดงถึงช่วงที่เคลื่อนไหวซ้ำ ๆ แบบติด Buffering เหมือนชื่อเพลงครับ ท่านั้นเต้นตามได้ง่าย หวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับพวกเราได้ครับ

Q : จุดไหนที่ห้ามพลาด ในการรับชมเอ็มวี “Glitch Mode”?

เฉินเล่อ  : ผมได้รับสองบทบาทในเอ็มวี เป็นทั้งพนักงานร้านเกม และอีกบทบาทเป็นกามเทพครับ ในเอ็มวีโอจะนำเสนอออกมาอย่างสนุกสนานเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ ‘หยุดชะงักซ้ำ ๆ (Buffering)’ เมื่อตกหลุมรักใครสักคน ผมหวังว่าทุกคนจะสนุกไปกับการรับชม (มิวสิกวิดีโอ) นะครับ

เหรินจวิ้น : นอกจากนี้ ยังมีฉากเต้นท่า ‘หยุดชะงักซ้ำ ๆ’ ซึ่งเราถ่ายทำกันโดยเล่นเพลงให้ช้าลง 0.5 เท่าในฉาก และทำให้เล่นเร็วขึ้นเป็น 2 เท่าในขั้นตอนหลังการถ่ายทำ เพื่อทำให้การ ‘หยุดชะงักซ้ำ ๆ’ ดูน่าทึ่งยิ่งขึ้นครับ มันเป็นเรื่องน่าสนุกที่จะดูฉากเต้นเหล่านั้น เพราะดูเหมือนกับว่าเรากำลัง ‘หยุดชะงักซ้ำ ๆ’ จริง ๆ ครับ

Q : อยากให้บอกเล่าความรู้สึกที่มีต่อเอ็มวีเพลง “Glitch Mode” นี้?

มาร์ค   : นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นเอ็มวีตัวเต็ม ที่ตัดต่ออย่างสมบูรณ์พร้อมซีจีครับ ตัวเพลงเองมีความน่าสนใจในตัวอยู่แล้ว แต่ก็มีภาพประกอบอื่น ๆ เสริมเข้ามาด้วย มันเป็นเอ็มวีที่มีความสมดุล ทั้งความสุขในการฟังและการดู อย่างสมบูรณ์แบบเลยครับ

Q : เล่าถึงเพลง “Fire Alarm” หน่อย?

แจมิน   : สำหรับ ‘ไฟร์ อลาร์ม (Fire Alarm)’ เป็นเพลงเปิดเพื่อเข้าสู่อัลบั้มเต็มชุดที่ 2 ของพวกเราครับ โดยอัลบั้มนี้ ประกอบไปด้วยความตั้งใจที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับแฟน ๆ อีกครั้งครับ และพวกเราเลือกเพลง ‘ไฟร์ อลาร์ม’ เป็นเพลงอินโทร เพราะว่ามันแสดงถึงอารมณ์โดยรวมของอัลบั้มได้ดีครับ เสียงไซเรนที่ถูกแทรกอยู่ระหว่างเพลงนั้น ค่อนข้างมีพลัง และคอนเซปต์แสดงถึงเด็กหนุ่มแบดบอยที่ฝันอยากจะหลุดพ้นครับ ในตอนที่เราเริ่มทำเพลงนี้ นี่คืออารมณ์ที่เราอยากจะถ่ายทอดออกมาครับ ดังนั้น เพลงนี้เลยถูกเขียนออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ทางดนตรีตามแนวคิดนี้ครับ

จีซอง :  ส่วนมู๊ด แซมเพลอร์ (Mood Sampler) ก็ได้มีการถ่ายทำในธีม ‘ไฟร์ อลาร์ม’ เหมือนกันครับ ทางทีมงานอธิบายถึงคอนเซปต์นี้ว่า มาจากภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง ‘แอคแทค เดอะ แกส สเตชั่น (Attack The Gas Station)’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ผมแทบไม่คุ้นเลย เพราะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายก่อนที่ผมจะเกิดอีกครับ โดยพวกเราได้นำคอนเซ็ปต์และบรรยากาศของภาพยนตร์เรื่องนี้ มาใช้ในการถ่ายทำ และตัวผมเองก็รู้สึกพอใจกับผลงานที่ออกมามาก ๆ เพราะมันรวบรวมด้านความเป็นอิสระของเราได้เป็นอย่างดีครับ

Q : เล่าถึงเพลง ‘Better Than Gold’ หน่อย?

แฮชาน  : ‘เบทเทอร์ แดน โกล์ด (Better Than Gold)’ เป็นเพลงแนว Synth Pop ที่สื่อสารถึงช่วงเวลาที่เราได้ใช้ร่วมกันในปัจจุบันนั้นมีมูลค่ามากกว่าทองคำเสียอีก เหมือนกับชื่อเพลงเลยครับ มันมีทำนองแนว Funk ที่สนุกสนาน ผสมผสานกับเนื้อเพลงเชิงบวกอย่างลงตัวครับ และเป็นเพลงที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกเพลิดเพลิน ราวกับอยู่ในงานเทศกาลครับ เพลงนี้ทำให้ผมค่อนข้างตื่นเต้นเมื่อได้ฟัง และหวังว่าวันหนึ่ง พวกเราจะสามารถร้องเพลงไปด้วยกันกับ เอ็นซิทิเซ่น (NCTzen) ของเราในคอนเสิร์ตได้ครับ

Q : เล่าถึงเพลง ‘Never Goodbye’หน่อย?

เฉินเล่อ  : ส่วน ‘เนอเวอร์ กู๊ดบาย (Never Goodbye)’ เป็นเพลงโปรดของผมเลยครับ โดยเป็นเพลงแนว R&B Ballad ที่มีบรรยากาศอบอุ่น ถ่ายทอดถึงการรอคอย และคงอยู่ที่ในเดิมเสมอ เช่นเดียวกับดาวเหนือครับ อีกทั้งเพลงนี้ยังเป็นเพลงที่สมาชิกทุกคนชอบ ดังนั้น ผมเลยอยากแสดงเพลงนี้บนเวที พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกร่วมกันกับแฟน ๆ ครับ

มาร์ค  : ผมได้มีส่วนร่วมในการทำท่อนแร็พ กับทั้ง เจโน่, แจมิน และจีซอง ครับ มันเป็นเพลงที่มีแนวความคิดของดาวเหนือเป็นหลัก แต่สมาชิกแต่ละคนก็มีการตีความเพลงนี้แตกต่างกันออกไป ซึ่งแฟน ๆ จะสามารถรับรู้ได้เองเมื่อฟังเพลงนี้ครับ

Q : เล่าถึงเพลง ‘Arcade’ หน่อย?

เหรินจวิ้น  : สำหรับ ‘อาเขต (Arcade)’ เป็นเพลง Hip-Hop ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเกมตู้ (เกม Arcade) โดยมีข้อความที่ว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณต้องปฏิบัติตาม หากต้องการชนะในเกมนี้ครับ ผมเองก็อยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เพราะพวกเราเพิ่งได้ลองทำเพลงที่มีอารมณ์แนวนี้เป็นครั้งแรกครับ ผมพอใจกับทั้งดนตรีและท่าเต้นที่ถูกออกแบบมาอย่างดี พวกเราจะขึ้นแสดงเพลงนี้พร้อมกับเพลงไตเติล ‘กลิตช์ โหมด’ ดังนั้น รอติดตามชมกันนะครับ

Q : เล่าถึงเพลง ‘Rewind’ หน่อย?

เจโน่  : เพลง ‘รีไวนด์ (Rewind)’ เป็นเพลงแนว Medium R&B Pop ที่มีความหมายเกี่ยวกับ การย้อนเวลากลับไปและชวนให้นึกถึงความทรงจำเช่นเดียวกันกับชื่อเพลงครับ ด้านเนื้อเพลงเองก็ถ่ายทอดข้อความที่เราเขียนถึงสมาชิกและแฟน ๆ ของเรา ในขณะที่เราเตรียมตัวทำอัลบั้มนี้ครับ ผมเชื่อว่าพวกเราจะหลงรักเพลงนี้มากขึ้น เพราะพวกเราทุ่มเทใจของเราลงไปด้วยครับ ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นเพลงสุดท้ายของอัลบั้มด้วย หวังว่าทุกคนจะ ‘รีไวนด์’ กลับไปฟังเพลงแรกอีกครั้ง หลังจากฟังมาทั้งอัลบั้มแล้วนะครับ

Q : ภาพลักษณ์แบบไหน ที่คุณอยากแสดงให้เห็นในอัลบั้มเต็มชุดที่ 2?

แฮชาน  : ผมต้องการแสดงภาพลักษณ์ของพวกเราในด้านความเป็นผู้ใหญ่ และเติบโตมากขึ้นกว่าอัลบั้มเต็มชุดแรกครับ อีกทั้งผมยังอยากแสดงให้เห็นว่า พวกเราแต่ละคนตีความคอนเซปต์ของการ ‘หยุดชะงักซ้ำ ๆ’ แตกต่างกันอย่างไร และพวกเราจะแสดงบนเวทีอย่างไรครับ

มาร์ค  : ผมเชื่อว่าคอนเซปต์ของ ‘กลิตช์ โหมด’ เป็นอะไรที่เข้ากับพวกเราเอ็นซีที ดรีม มาก ๆ ครับ และยังเป็นอะไรที่พวกเราเองก็ไม่เคยทำมาก่อน พวกเราเลยพยายามคิดกันอย่างหนักว่า เราจะสามารถถ่ายทอดคอนเซปต์นี้ออกมาให้ดีที่สุด ในแบบของเราเองได้อย่างไร

Q : ภาพทีเซอร์ที่ถูกปล่อยออกมา ดูมีสีสันเป็นอย่างมาก ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์เกาหลี เรื่อง “Attack The Gas Station!” แนวคิดของอัลบั้มนี้เป็นอย่างไร และสมาชิกแต่ละคนรู้สึกพอใจกับคอนเซ็ปต์นี้มากน้อยแค่ไหน?

แฮชาน  : พวกเราเองต่างก็ประทับใจในคอปเซปต์ ตั้งแต่ที่ได้ยินเพลงไตเติล ‘กลิตช์ โหมด’ ครับ พวกเราเลยอยากยึดคอนเซปต์นี้เอาไว้ และแสดงอารมณ์ ‘ความไม่ปกติ’ ผ่านหลายมุมมองที่มองเห็นได้ เริ่มตั้งแต่การแต่งกายครับ แฟน ๆ จะได้เห็นพวกเราในคอนเซปต์ที่มีความอิสระ และเสื้อผ้าสีชมพูร้อนแรง ซึ่งเป็นสีที่แสดงถึงความผิดพลาด ในการพยายามที่จะรวบรวมเสน่ห์ที่ไม่ปกติ เหมือนข้อผิดพลาดครับ

เหรินจวิ้น   : ผมคิดว่าท่าเต้นของเพลงไตเติล ‘กลิตช์ โหมด’ เป็นอะไรที่แปลกใหม่ แล้วก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับเพลงและคอนเซปต์ครับ เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าทุกคนจะชอบกันนะครับ

Q : เพลงไหนที่ชอบมากที่สุด ในบรรดาทั้ง 11 เพลงในอัลบั้มนี้?

เฉินเล่อ  : ผมชอบ ‘เนอเวอร์ กู๊ดบาย (Never Goodbye)’ ครับ เป็นเพลงโปรดของผมเลย กับอีกเพลงที่ชอบรองมา คือ ‘เบทเทอร์ แดน โกล์ด (Better Than Gold)’ ครับ ทั้งสองเพลงมีอารมณ์ที่ดี สนุก และเต็มไปด้วยพลังในการแสดงสดบนเวทีครับ เมื่อฟังเพลงนี้ ผมสามารถจินตนาการได้ถึงภาพที่พวกเรามีปาร์ตี้กับแฟน ๆ ทุกคนในคอนเสิร์ตครับ

แฮชาน  : เพลงโปรดของผม คือ ‘เท็ดดี้ แบร์ (Teddy Bear)’ เพราะว่าแฟน ๆ ชอบเรียกผมว่าเท็ดดี้ แบร์ และตัวเพลงเองก็ให้อารมณ์แบบอบอุ่น ซึ่งผมขอแนะนำให้ฟังเพลงนี้ตอนกลางคืนช่วงเวลาเข้านอน เหมือนกับชื่อภาษาเกาหลีของเพลงนี้ที่มีความหมายว่า ‘ฝันดี’ (Good Night) ครับ นอกจากนี้ ยังถ่ายทอดการประสานเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของสมาชิกด้วยครับ

จีซอง   : ผมชอบเพลง ‘เนอเวอร์ กู๊ดบาย’ ที่สุดครับ ซึ่งเป็นเพลงที่ไพเราะ แต่ดูเหมือนจะเศร้ากว่าเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มที่ผ่านมา อย่างเพลง ‘เดียร์ ดรีม (Dear Dream)’, ‘มาย ยูธ (My Youth)’ และ ‘เรนโบว์ (Rainbow)’ โดยเพลง ‘เนอเวอร์ กู๊ดบาย’ จะมีกลิ่นอายคล้าย ๆ กับเพลงเหล่านั้นครับ แล้วผมก็ชอบเพลงนี้ เพราะทำให้ผมได้จินตนาการถึงเรื่องราวในระหว่างที่ฟัง บางทีอาจเป็นเพราะว่าพวกเราเป็นคนเขียนเนื้อเพลงนี้ด้วยตัวเองครับ

แจมิน   :  เหมือนกันครับ ผมชอบ ‘เนอเวอร์ กู๊ดบาย’ มากที่สุด แล้วก็เพลง ‘รีไวนด์ (Rewind)’ ถ้าให้เลือกได้อีกนะครับ เป็นเพราะชวนให้นึกถึงความทรงจำในตอนที่มีความสุขขณะเราซ้อมเพลงกันครับ และเพราะว่าผมชอบเพลง ‘รีไวนด์’ ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายในอัลบั้ม ก็เลยทำให้ผมได้ฟังเพลงย้อนกลับขึ้นมา จากเพลงที่ 11 มาที่เพลงแรกครับ

เจโน่   :  ผมเคยชอบเพลง ‘ไดรฟ์ (Drive)’ มาก ๆ ครับ แต่ทุกวันนี้ชอบเพลง ‘ไฟร์ อลาร์ม (Fire Alarm)’ ครับ ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก และท้าทายมาก ๆ ในตอนที่อัดเพลงนี้ เลยทำให้มีความหมายกับผมมากทีเดียวครับ อีกทั้งยังประทับใจว่า เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่ผมจำเนื้อเพลงท่อนคอรัสได้โดยที่แทบจะไม่ต้องท่องเลยครับ

เหรินจวิ้น   : ผมชอบเพลง ‘ไดรฟ์ (Drive)’ เพราะว่าช่วยให้ผมรู้สึกผ่อนคลายและสงบเมื่อตอนที่ได้ฟังครั้งแรก แต่เพลง ‘รีไวนด์ (Rewind)’ ก็เป็นหนึ่งในเพลงโปรดเหมือนกันนะครับ ชอบทั้งสองเพลงเลยครับ เพราะให้ความรู้สึกที่สดใสร่าเริงเหมือนกันครับ

มาร์ค   :  ผมชอบ ‘แซทเทอร์เดย์ ดริป (Saturday Drip)’ คือ เพลงโปรดของผมที่อยากแนะนำครับ ไม่ใช่แค่เพราะว่าตัวเพลงให้ความสนุก แต่ยังเป็นเพลงยูนิตแร็พเพลงแรกที่เราปล่อยออกมา ผมตื่นเต้นมาก ๆ ที่จะนำเสนอด้านนี้ของเราให้แฟน ๆ ได้รู้จักเป็นครั้งแรก

Q : ดูเหมือนกว่า “เอ็นซีที ดรีม”  มีพัฒนาการ จากการเป็นวงไอดอล “วัยรุ่น” (High Teen) ไปสู่วงที่นำเสนอ “ความเป็นหนุ่ม” (Youth) มากขึ้น ในระหว่างที่ทำอัลบั้มชุดที่ 2 นี้ มีช่วงเวลาไหนบ้างที่ทำให้คุณรู้สึกเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น?

เจโน่   :  ผมรู้สึกว่าพวกเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อได้เรียนรู้ว่าพวกเราเท่ เก่งอะไร พอเห็นแบบนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าพวกเรา ‘เติบโตขึ้น’ มากจริง ๆ จากตอนเดบิวต์ครับ ผมเชื่อว่าพวกเราสามารถทำงานอัลบั้มเพลงอย่างหนักได้ และสามารถนำเสนอมิวสิกวิดีโอและการแสดงที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยครับ

แจมิน   : โดยส่วนตัว ผมคิดว่าภาพเราค่อนข้างดูโตขึ้นมากจาก ‘ชูวิ่ง กัม (Chewing Gum)’ ที่เป็นไอดอลวัยรุ่น (high Teen) จนมาถึงตอนนี้ครับ สมาชิกทำงานหนักมาด้วยกันจนถึงปัจจุบันกับอัลบั้มชุดใหม่ ‘กลิตช์ โหมด’ ก็ต้องขอบคุณเอ็นซิทิเซ่นด้วยครับ อย่างไรก็ตาม เวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกัน ก็ยังเล่นซนกันเป็นเด็กอยู่นะครับ

Q : สีสันของเพลงของ “เอ็นซีที ดรีม” เหมือนจะค่อย ๆ เปลี่ยนไป คิดอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้ เทียบกับตั้งแต่เดบิวต์?

มาร์ค   : ผู้คนมากมายได้เห็นถึงการเติบโตมากขึ้นของพวกเราจากช่วง ‘ชูวิ่ง กัม’ ผมเลยคิดเสมอว่าพวกเราเป็นวงที่มีพัฒนาการอยู่ตลอด เมื่อมองผ่านอัลบั้ม ‘กลิตช์ โหมด’ นี้ คุณจะเห็นได้ถึงความแตกต่าง ทั้งด้านความเป็นผู้ใหญ่ วุฒิภาวะที่ลึกซึ้งขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง ‘ฮอต ซอส (Hot Sauce)’ และผมรู้สึกเหมือนว่า พวกเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในด้านจิตใจเช่นกันครับ ตอนที่เราเตรียมงานของอัลบั้ม พวกเรายึดมั่นกับความคิดที่จะพยายามอย่างดีที่สุด เพื่อนำเสนอผลงานที่ดีที่สุดครับ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมคาดหวังว่าจะสัมผัสได้ถึงรายละเอียดที่พวกเราใส่ไปในเพลงนะครับ นอกจากนี้ ผมเชื่อว่าความท้าท้ายตัวเองที่มีอยู่ตลอดนั้น เป็นสีสันที่นิยามความเป็น ‘เอ็นซีที ดรีม’ ครับ

จีซอง  : โดยส่วนตัวผมคิดว่า การเติบโต คือ สีสันของเพลงของ ‘เอ็นซีที ดรีม’ ครับ ถ้าคุณได้ฟัง ‘ชูวิ่ง กัม’ ก็จะรู้สึกว่า พวกเรายังเป็นเด็กน้อยที่น่ารักเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าคุณฟัง ‘กลิตช์ โหมด’ ก็จะรู้ได้เลยว่า พวกเราเติบโต และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนเดบิวต์ครับ พวกเราเองก็รู้สึกว่า พวกเราเติบโตไปพร้อม ๆ กับผลงานแต่ละอัลบั้มเช่นกันครับ

Q : ในปีที่แล้วอัลบั้มเต็มชุดแรกของพวกคุณ มียอดจำหน่ายทะลุ 3 ล้านชุด ขึ้นแท่นเป็น Triple Million Seller สำหรับในอัลบั้มเต็มชุดนี้ คาดหวังในการประสบความสำเร็จไว้อย่างไรบ้าง?

เหรินจวิ้น  : สำหรับอัลบั้มเต็มชุดแรกอย่าง ‘ฮอต ซอส (Hot Sauce)’ เราเน้นไปที่ความสนุกสนานผ่านการแสดงบนเวทีเป็นหลัก ไม่ได้นึกถึงผลลัพธ์มากเท่าไรครับ อย่างไรก็ตาม พวกเราได้รับความรักมากมาย และรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับการสนับสนุน ดังนั้น ในครั้งนี้ พวกเราจึงเตรียมอัลบั้มชุดนี้ เพื่อตอบแทนทุกการสนับสนุนที่เราได้รับมาโดยตลอด และเพื่อพิสูจน์ว่า พวกเราเป็นวงที่คู่ควรกับความรักมากมายเหล่านั้นครับ

มาร์ค   : เป็นไปไม่ได้เลยครับ ที่จะเตรียมอัลบั้มหรือคัมแบ็กโดยไม่นึกถึง เอ็นซิทิเซ่น แบบที่ เหรินจวิ้นบอกครับ พวกเราพยายามที่จะไม่ทำให้ความรักและการสนับสนุนจากแฟน ๆ เสียเปล่า และถือเป็นจุดมุ่งหมายของเราที่จะถ่ายทอดสะท้อนความรู้สึกเหล่านั้นลงในอัลบั้ม เพื่อให้เอ็นซิทิเซ่นได้รับรู้ครับ นอกจากนี้พวกเรายังคิดว่าอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 นี้ ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเติบโตของพวกเรา และพวกเราจะพัฒนาตัวเองต่อไปครับ ผมหวังว่าทั้งหมดนี้ จะถูกส่งไปถึงแฟน ๆ ของเรา และต้องการแสดงให้เห็นจริง ๆ ว่าพวกเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้นขนาดไหนครับ

เป็นอีกครั้งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “เอ็นซีที ดรีม” นั้นได้เติบโตอย่างทรงพลังทั้งความคิด ภาพลักษณ์ รวมถึงแนวเพลงที่ยังเอกลักษณ์ และสร้างสีสันใหม่ให้วงการเพลงได้แบบไม่มีใครเหมือนจริง ๆ

ฮาอึน