เขาว่า ข่าวแนวๆ ที่มีคนชอบมาก คือ ข่าวประเภทความฉาวโฉ่เรื่องใต้สะดือของใคร โดยเฉพาะคนดังๆ จะถูกวิจารณ์มาก หยามหมิ่นมากถ้าเป็นผู้กระทำความผิดทางเพศเสียเอง ส่วนหนึ่งมันคงจะเป็นกลไกทางจิตเกี่ยวกับเรื่องความเหลื่อมล้ำที่มีมากในสังคมไทย ที่ทำให้หากคนที่เป็น “อภิสิทธิ์ชน” คนดัง คนรวย คนที่พ่อแม่เป็นใหญ่เป็นโต กระทำความผิด สังคมยิ่งรุมกระหน่ำว่า “โธ่ คิดว่าดี ที่แท้ก็..( ยังไงไปเติมเองได้ )”

ล่าสุด ก็เกิดเหตุวิจารณ์ใหญ่โตในสังคมไทย เมื่อ ทนายตั้ม-ษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายชื่อดัง ออกมาเปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากเหยื่อรายหนึ่งว่า ถูก “รองหัวหน้าพรรค” ล่วงละเมิดทางเพศ โดยเริ่มจากสาววัย 18 คนนี้กับแม่ ชื่นชอบพรรคที่บุคคลรายนี้สังกัดอยู่แล้ว และไปฟังแนวคิดเกี่ยวกับเศรษฐกิจสมัยใหม่ เกิดชอบขึ้นมา เลยนัดแนะติดต่อกัน ที่ร้านอาหารบนดาดฟ้าร้านหนึ่ง แถวซอยสุขุมวิท 11 โดยแม่ไม่ได้ไปด้วย ไปแต่สาว 18

ปรากฏว่า เธอไปแจ้งกับทนายตั้มว่า โดนรองหัวหน้าพรรครายนี้ล่วงละเมิดทางเพศ ทนายตั้มจึงให้ไปแจ้งความไว้ก่อนที่ สน.ลุมพินี แล้วก็มาเปิดประเด็นไว้ ปรากฏว่า มี “ผู้ระบุว่าตัวเองก็เป็นเหยื่อ” ติดต่อเข้ามาหาทนายตั้มเพิ่มขึ้น บางรายไม่ได้แค่โดนล่วงละเมิดโดยการอนาจาร แต่ถึงขั้นถูกข่มขืน แม้กระทั่งภรรยาของไฮโซดังที่ผันตัวมาเคลื่อนไหวทางการเมือง (และไฮโซคนนี้เคยอยู่พรรคนี้มาก่อน) ก็มาแจ้งความว่าโดนข่มขืนเมื่อปี พ.ศ. 2564

ปริญญ์ ยังไม่ประสานเข้าให้ปากคำ ทนายตั้มปัดแฉเพราะการเมือง

ในที่สุด เรื่องก็เปิดเผยขึ้นมาว่า “รองหัวหน้าพรรค” ที่ถูกกล่าวถึงคือ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจสมัยใหม่ของพรรค ซึ่งเมื่อมีปัญหา เจ้าตัวประกาศว่า มันเป็นเรื่องที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค ดังนั้นจึงขอลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรค พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้ทำตามที่ถูกกล่าวหา ที่โทรฯไปคุยกับแม่ผู้เสียหายก็เพราะเห็นข่าวและต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจ

จากนี้ก็เป็นส่วนของตำรวจที่จะว่ากันไปเรื่องคดีของนายปริญญ์ ซึ่งต่อไปไม่รู้เหยื่อจะโผล่มาอีกกี่คน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องยอมรับว่า แม้จะมีการเรียกร้องให้เคารพสิทธิในร่างกาย แต่มันก็ไม่เข้ามโนสำนึกคนที่มันอยากจะล่วงละเมิด ดังนั้น เหยื่อ ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ก็ต้องมีความระวังตัวไว้ระดับหนึ่ง อย่างเช่น การนัดพบคนที่ไม่สนิทจริงๆ ก็ควรไปในที่สาธารณะที่มีโอกาสมีกล้องวงจรปิดถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐานหากเกิดอะไร

และไม่ใช่เรื่องที่เหยื่อควรเงียบ ต้องยอมรับว่า ในยุคนี้มี “ผู้พิทักษ์ความเป็นธรรม” ทางอินเทอร์เน็ตเยอะ สามารถร้องเรียนเข้าไปได้ให้เขาช่วย บางเรื่องอย่างการข่มขืน ถ้าทิ้งช่วงไปหลักฐานจะไม่เหลือให้เก็บ …การถูกล่วงละเมิดต้องอย่ายอม ให้ลองคิดกลับกันถ้าผู้กระทำอ้างอำนาจบาตรใหญ่ของตัวเอง แต่ถ้ามันฉาวในโลกโซเชียล แล้วผู้ร้องมีหลักฐานพอ คราวนี้ใหญ่แค่ไหนก็อาจแพ้ภัยตัวเองได้…แบบว่า อะไรใหญ่ๆ เวลาล้มมันดังดี

การมีเพศสัมพันธ์ ต้องขึ้นอยู่กับหลัก การยินยอมพร้อมใจ (consent) คือทั้งสองฝ่าย (หรือกระทั่งมากกว่าสองฝ่าย) ตกลงในเงื่อนไขกันแล้ว มีการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับรสนิยม หรือให้ดี ให้ไปถึงประวัติสุขภาพเลยก็ได้ และรับผิดชอบผลร่วมกันจากการมีเพศสัมพันธ์ได้ จัดการอย่างมีวุฒิภาวะ…แต่สำหรับ การข่มขืน อนาจาร ล่วงละเมิดนั้น เป็นระบบอำนาจนิยม ฝ่ายผู้กระทำมักจะอ้างอำนาจเหนือกว่า อย่าง พ่อแม่ตัวเองเป็นใหญ่ ตัวเองมีหน้าที่การงานใหญ่โต หรือกระทั่งสุดท้ายไม่มีอะไรจะอวดก็ใช้พละกำลังข่มเหง หรือใช้วิธีอื่นให้ได้มาอย่างมอมยา

การใช้อำนาจเข้าขู่ ทำให้เหยื่อยิ่งมีความกลัวมากกว่าความอาย และอาจเป็นปัญหาทางจิตเรื้อรังในอนาคต แต่นาทีนี้ ตั้งแต่กระแส #metoo ที่ชาวฮอลลีวูดต่างออกมาแฉฮาร์วีย์ ไวนสไตน์ ผู้บริหารค่ายยักษ์ใหญ่เรื่องละเมิดทางเพศ ทำให้เรารู้ว่า “เหยื่อไม่ควรเงียบอีกต่อไป” เมื่อคุณเป็นเหยื่อ คุณจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ และสังคมจับตาว่าคุณจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ ย้อนกลับไปที่กล่าวมาข้างต้น คือ มีพวกผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมในอินเทอร์เน็ตคอยช่วยเยอะ…ร้องไปเถอะ เพจทนายตั้ม, ทนายเดชา, แหม่มโพธิ์ดำ, อยากดังเดี๋ยวจัดให้, drama addicted ดึงสังคมให้เข้ามาจับจ้องกระบวนการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม กรณีของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ นั้น ยังมีผู้สงสัยว่า “เป็นเรื่องการเมืองหรือเปล่า” คืออันนี้ก็ต้องแยกว่า ถ้ากระทำจริง มันก็คือส่วนคดีอาญาที่เขาต้องรับผิดชอบ แต่ถ้ามันมีนัยทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่คนมีสิทธิคิดได้ ซึ่งมันคิดได้หลากหลายแบบทฤษฎีสมคบคิดว่า “ทำไมเรื่องถึงฉาวขึ้นมาป่านนี้” พรรคประชาธิปัตย์กำลังส่ง “พี่เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์” ลงแข่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. พร้อมส่ง ส.ก.ครบทุกเขต หวังทวงพื้นที่กรุงเทพฯ คืนอยู่ด้วย

เปิดตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' ชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม. โชว์วิสัยทัศน์แก้ปัญหาคนกรุง  - มติชนสุดสัปดาห์

จะว่าเป็นการดิสเครดิตจากฝ่ายต้องการตัดคะแนนพี่เอ้? ทางเจ้าตัวก็บอกว่า เรื่องของนายปริญญ์คือเรื่องของนายปริญญ์เอง ไม่เกี่ยวกับเขา แม้จะเป็น ผอ.เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ สก.ของพรรค แต่เรื่องแนวทางหาเสียงอะไรต่างๆ ทางพี่เอ้และทีม ส.ก.เตรียมไว้หมดแล้ว …แต่อย่างไรก็ตาม ภาพลักษณ์ด้านลบก็คงจะติดตัวเพราะพี่เอ้ลงในนามพรรค

บ้างก็สงสัยว่า “เป็นการเล่นกันเองในพรรคหรือไม่?” โดยเขาเอาโน่นเอานี่มาตั้งข้อสังเกตว่า คณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ค่อนข้างที่จะมีคนไม่ชอบเยอะ ทำให้เลือดไหลออกประชาธิปัตย์เรื่อยๆ ภาคใต้ก็มีข่าวว่า กลุ่มตระกูลธรรมเพชร ไปพลังประชารัฐ (พปชร.) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ไปสร้างอนาคตไทย นายสุรเชษฐ์ มาศดิตถ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช ยังไม่ตัดสินใจ ทางนายอันวาร์ สาและ ส.ส.ปัตตานี ก็แบะท่าพร้อมจะออกจากพรรค และยังมีคนอื่นๆ ซึ่งคนที่ออกไปจำนวนหนึ่งก็พูดทำนองว่า “นายจุรินทร์เอาแต่พวกพ้องตัวเอง”

ซึ่งนายปริญญ์เองก็เป็นคนที่ทำงานใกล้ชิดนายจุรินทร์ ทำเรื่อง เศรษฐกิจทันสมัย อย่างคริปโต, ซอฟต์พาวเวอร์ ขณะที่ภาพของทีมเศรษฐกิจพรรคนั้น …ถ้าไม่มีโครงการประกันราคาสินค้าเกษตร เรียกว่า ไม่ค่อยมีไอเดียอะไรเข้ากับโลกาภิวัตน์เท่าไร …เป็นไปได้หรือไม่ ที่มีคนไม่พอใจกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ค่อยๆ ลงมือ “ตัดแขนตัดขา” หัวหน้าพรรคก่อน โดยเริ่มจากคนใกล้ตัวที่ไม่ได้เป็น ส.ส. เพื่อสร้างกระแสกดดันให้มีการเปลี่ยนชุดกรรมการบริหารพรรคใหม่ …ที่ชิงเปิดเรื่องช่วงนี้ ก็เพราะ 1.สงกรานต์ไม่ค่อยมีข่าวการเมือง 2.ถ้าไปทำให้เกิดกระแสปรับเปลี่ยนตอนใกล้เลือกตั้ง จะกอบกู้ภาพลักษณ์พรรคได้ลำบาก

จิตมนุษย์นั้นไซร้ ยากแท้..หยั่งถึง ใครจะรู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการ “หวังผล” อะไรเกี่ยวกับพรรคหรือไม่ เรื่องนี้ไม่แน่..อาจต้องดูกันไปยาวๆ ยึดหลักว่า “ถ้าผู้ถูกกล่าวหายังไม่ถูกกระบวนการยุติธรรมตัดสินว่าผิด ก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่” ถ้าผลออกมาทีหลังว่าเป็นการจัดฉากเล่นการเมือง ฝ่ายออกตัวแรงไป ก็เยียวยาคนที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ ..กรณีดาราหนุ่มฟิล์ม รัฐภูมิ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนและคลาสสิกมาก ที่ด่วนเข้าข้างฝ่ายหนึ่ง พอความจริงออกมาเงิบกันเป็นแถว

เรื่องนี้ฝุ่นยังตลบ อีกสักพักจะเห็นภาพชัดขึ้น ว่าเอาจริงคือ “ลับลวงพราง” ทางการเมืองหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้ คือพรรคประชาธิปัตย์ประกาศเป็นพรรคที่มีนโยบาย เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ ระดับผู้บริหารพรรคควรพูดเรื่องนี้ด้วย.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”