เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 4 พ.ค. ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.น. ดูแลด้านกฎหมายและคดี กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะพนักงานสอบสวนและติดตามความคืบหน้าคดีของ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จากกรณีมีหญิงสาวหลายรายเข้าแจ้งความดำเนินคดี ทั้งข้อหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัลและล่วงละเมิดทางเพศ ว่า วันนี้เดินทางมาร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าคดี หลังพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีต่อนายปริญญ์  ในข้อหาพรากผู้เยาว์ฯ ซึ่งได้มีการออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาในวันพรุ่งนี้ (5 พ.ค.) เวลา 09.00 น. ที่ สน.ห้วยขวาง

โดยขณะนี้ นายปริญญ์ ยังไม่ได้มีการติดต่อขอเลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนแต่อย่างใด ทุกอย่างยังเป็นไปตามขั้นตอนเหมือนเดิม และโดยรวมขณะนี้มีผู้เสียหายทั้งหมด 15 ราย ประกอบด้วย สน.ลุมพินี 9 ราย ซึ่งใน 3 ราย ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว และอีก 1 คดี จะเรียกมารับทราบข้อหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ในวันศุกร์ที่ 6 พ.ค.นี้, สน.ห้วยขวาง 1 ราย, สภ.เมืองเพชรบุรี 1 ราย, สภ.เมืองเชียงใหม่ 1 ราย, คดีพิเศษนอกราชอาณาจักร 1 ราย และคดีขาดอายุความ 2 คดี ซึ่งเป็นของ สน.ลุมพินี โดยผู้เสียหายในคดีขาดอายุความ ได้ประสงค์ขอเข้าให้การเป็นพยานในคดีอื่นที่ยังไม่ขาดอายุความแทน

พล.ต.ต.ไตรรงค์ กล่าวว่า ในวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. เวลา 09.00 น. ได้มีการออกหมายเรียกให้นายปริญญ์มารับทราบข้อกล่าวหากระทำอนาจารต่อหน้าธารกำนัล ที่ สน.ลุมพินี หลังสอบปากคำผู้เสียหาย 1 ใน 6 ที่เป็นความผิดในพื้นที่ สน.ลุมพินี ซึ่งสามารถระบุวันเวลา และสถานที่เกิดเหตุ รวมถึงพฤติการณ์ของนายปริญญ์ ได้ชัดเจน ส่วนอีก 5 คดีที่เหลือ อยู่ระหว่างการพิจารณารวบรวมพยานหลักฐาน เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนานแล้ว ส่วนคดีที่หมดอายุความ หากพนักงานสอบสวนพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ก็สามารถดำเนินคดีต่อนายปริญญ์ได้

ส่วนกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาจะทำการส่งทีมกฎหมายแจ้งความกลับผู้เสียหาย ฐานแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาทนั้น พล.ต.ต.ไตรรงค์ กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาสามารถนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นการฟ้องร้องต่อใครก็ตาม เป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหา โดยจะแยกเป็นกรณีๆ ไป ซึ่งระบบการสอบสวนเป็นระบบกล่าวหา เมื่อมีผู้ที่เชื่อว่ามีผู้กระทำความผิดต่อตนเอง ก็สามารถมาร้องทุกข์ได้ ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยพนักงานสอบสวนจะต้องตรวจหลักฐานที่มีก่อนจะดำเนินการขั้นต่อไป และหากผู้ถูกกล่าวหาจะมีการฟ้องกลับ พนักงานสอบสวนก็ไม่หนักใจ เพราะจากการสืบสวนสอบสวนคดีที่ผ่านมา มีพยานหลักฐานแน่นหนาเพียงพอให้ศาลออกหมายจับ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่นายปริญญ์ จะฟ้องกลับผู้กล่าวหาถือว่าเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ พล.ต.ต.ไตรรงค์ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น เเต่เป็นสิทธิที่ผู้ต้องหาทำได้ และตำรวจก็ต้องพิจารณาพยานหลักฐานตามที่นำมายื่น

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ในกรณีที่นายปริญญ์จะแจ้งข้อหาเเจ้งความเท็จต่อผู้กล่าวหานั้น มีผู้เสียหายรายใดเข้าข่ายบ้างหรือไม่ พล.ต.ต.ไตรรงค์ เผยว่า ขณะนี้ยังไม่มีผู้เสียหายรายไหนที่ส่อไปในทางนี้