สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ว่าบริษัทไฟเซอร์ หนึ่งในผู้ผลิตและจัดจำหน่ายยา และเทคโนโลยีชีวภาพรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐ คาดการณ์รายได้เฉพาะจากการจำหน่ายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แบบฉีดสองโด๊ส ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี จะอยู่ที่ 33,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 1.1 ล้านล้านบาท ) สำหรับวัคซีนที่ไฟเซอร์มีกำหนดส่งมอบตลอดทั้งปีนี้ จำนวน 2,100 ล้านโด๊ส ให้แก่นานาประเทศที่ทำสัญญาร่วมกัน 
อนึ่ง การคาดการณ์รายได้ดังกล่าวยังไม่รวมข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลวอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทค เพิ่มอีก 200 ล้านโด๊ส เผื่อสำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี หากได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) และในกรณีที่การฉีด "เข็มที่สาม" หรือ "บูสเตอร์" มีความจำเป็น
แม้เอฟดีเอและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ ( ซีดีซี ) ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่า บูสเตอร์สำหรับกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคโควิด-19 "ยังไม่มีความจำเป็น" แต่นายอัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร ( ซีอีโอ ) ของไฟเซอร์ กล่าวว่า บริษัท "ค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้" พร้อมทั้งเปิดเผยความคืบหน้าของการทดสอบภายในของไฟเซอร์ ว่าการฉีดเข็มที่สามหลังครบการฉีดสองเข็มแรกไปแล้ว 6 เดือน สามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเดลตาได้ดีขึ้น 11 เท่า ในกลุ่มผู้สูงอายุ และ 5 เท่าในกลุ่มคนหนุ่มสาว
ขณะเดียวกัน ซีอีโอของไฟเซอร์ยืนยันว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า "โคเมอร์นาตี" ยังคงสามารถป้องกันการป่วยหนักจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใดก็ตาม ได้สูงสุด 97% นอกจากนี้ ไฟเซอร์กำลังทดสอบวัคซีนตัวนี้กับกลุ่มตัวอย่างอายุ 6 เดือน จนถึง 11 ปีด้วย แต่จะใช้ปริมาณวัคซีนต่อโด๊สน้อยกว่าวัยรุ่นและผู้ใหญ่มาก เพื่อความปลอดภัยของอาสาสมัคร.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES