สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ว่าคณะตุลาการศาลฎีกาสหรัฐมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เสียง ว่าการพกพาอาวุธปืนในสถานที่สาธารณะ “เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน” ของชาวอเมริกัน


คำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลต่อคำฟ้องร้องเมื่อปี 2551 เกี่ยวกับกฎหมายปืนของรัฐนิวยอร์ก ฉบับปี 2456 ซึ่งระบุว่า ประชาชนต้อง “แสดงหลักฐาน” ว่ามี “เหตุผลอันสมควร” ที่จะพกพาอาวุธปืนนอกเคหสถาน “เพื่อป้องกันตนเอง” ซึ่งศาลสูงสุดของสหรัฐมองว่า “ขัดต่อรัฐธรรมนูญ”


ทั้งนี้ มติของศาลฎีกาสหรัฐต่อกฎหมายปืนของรัฐนิวยอร์ก มีแนวโน้มเป็นการปูทางให้กับการร้องเรียนต่อกฎหมายแบบเดียวกันนี้ ในรัฐฮาวาย รัฐแมสซาชูเซตส์ รัฐแมริแลนด์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย และกรุงวอชิงตัน


ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า “ผิดหวังอย่างมาก” กับคำพิพากษาของศาลฎีกา ด้านนางเคธี โฮชุล ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก และนายอีริก อดัมส์ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก พร้อมใจกันออกมาวิจารณ์มติของศาลสูงสุด ว่าเป็นการ “ส่งสัญญาณก้าวถอยหลัง” ให้กับความพยายามของทุกฝ่าย ที่ต้องการปกป้องประชาชนให้รอดพ้นจากความรุนแรงของอาวุธปืน นับจากนี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องของรัฐนิวยอร์กจะร่วมกันแสวงหาหนทางอื่น เพื่อยกระดับความเข้มงวดให้กับการครอบครองอาวุธปืนในท้องที่


อย่างไรก็ตาม สมาคมปืนไรเฟิลแห่งชาติ (เอ็นอาร์เอ) ซึ่งเป็นล็อบบี้ยิสต์ด้านอาวุธปืนที่ทรงอิทธิพลที่สุดของสหรัฐ ออกแถลงการณ์แสดงความชื่นชมมติของศาลฎีกา


ปัจจุบัน พลเมืองในสหรัฐครอบครองอาวุธปืนรวมกันมากกว่า 390 ล้านกระบอก ตามรายงานของ “สมอล อาร์มส เซอร์เวย์” และเฉพาะเมื่อปี 2563 มีชาวอเมริกันมากกว่า 45,000 ราย เสียชีวิตจากเหตุที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรรมหรือการกระทำอัตวินิบาตกรรม


อนึ่ง นับตั้งแต่ต้นปีนี้ อเมริกาเผชิญกับเหตุกราดยิงมากกว่า 200 ครั้งแล้ว โดยเหตุกราดยิงตามการให้คำจำกัดความของสหรัฐ หมายถึงเหตุความรุนแรงจากอาวุธปืน ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตตั้งแต่ 4 รายขึ้นไป โดยยังไม่รวมผู้ก่อเหตุ.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES