ถูกยกให้เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่น่ารักสุด ๆ สำหรับ บีม-กวี ตันจรารักษ์ และภรรยาคนสวย ออย อฏิพรณ์ ที่ตอนนี้ลูกชายฝาแฝดทั้งสองคน อย่าง “พี่ธีร์-น้องพีร์” กำลังเป็นขวัญใจพี่ป้าน้าอาทั่วบ้านทั่วเมือง ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสพูดคุยกับหนุ่มบีมแบบจัดเต็ม ทั้งอัพเดทงาน ที่เจ้าตัวกำลังจะมีภาพยนตร์ “ทวงคืน” ฝีมือกำกับโดยน้องชายคนสนิท แดน-วรเวช ดานุวงศ์ นอกจากนี้ยังได้เปิดใจถึงเรื่องการเลี้ยงดูลูก ๆ ตามแบบฉบับคุณพ่อบีม และการดูแล ออย ที่ตอนนี้กำลังตั้งท้องลูกแฝดครั้งที่ 2 จ่อขึ้นแท่นคุณพ่อคุณแม่ลูกแฝดสี่ ขยายเป็นครอบครัวใหญ่ขึ้น พร้อมไม่พลาดเผยถึงความประทับใจที่บีมมีต่อภรรยาสุดที่รักด้วย

 Q : ทำไมตัดสินใจมารับบท ไลฟ์โค้ช “บริบูรณ์” ในเรื่อง “ทวงคืน” มีความน่าสนใจตรงไหน?

บีม : คือมันแปลกตั้งแต่ที่แดนมาบอกว่าอยากให้เป็นไลฟ์โค้ชแล้ว มันเป็นอะไรที่ไม่เคยมาก่อนว่าเราจะเป็นไลฟ์โค้ชได้ แต่จริง ๆ ในสายเลือดอาจมีความเป็นไลฟ์โค้ชอยู่ก็ได้ (ยิ้ม) เพราะว่าฝั่งคุณแม่ก็จะเป็นครู เป็นอาจารย์ เวลามีคนเห็น เราก็จะเป็นคนที่มีหลักการ หน้าตาดูแล้วบีมน่าจะเรียนหมอแน่เลย ดูให้กำลังใจคน แนะแนวทางให้คนได้ เลยรู้สึกว่ามันดูท้าทาย น่าสนใจดี และมันมีกิมมิคคือเป็นไลฟ์โค้ชที่ใช้ลูกตัวเองเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ส่วนจะใช้ยังไง ต้องเข้าไปดูในหนังนะครับ

Q : ต้องทำการบ้านตรงไหนเป็นพิเศษมั้ย?

บีม : เราก็พยายามหาคาแรกเตอร์ของตัวละครโดยการมานั่งพูดคุยกันและดูคลิปไลฟ์โค้ชต่างๆ เอาคนนี้มานิด เอาคนนั้นมาหน่อย เป็นการกึ่ง ๆ ล้อเลียนนิดหน่อย ซึ่งบีมมีส่วนร่วมดีไซน์ตัวละคร คือเราจะดึงไลฟ์โค้ชที่เรารู้สึกว่าแปลก เอามาใส่ และปรึกษาผู้กำกับ ก็คือแดนตลอดเวลา และมีทีมงานคอยเสนอ อะไรที่ดีเราก็เก็บไว้ครับ

Q : อาชีพ “บริบูรณ์”  ก็มีส่วนคล้าย “บีม” ในแง่เป็นยูทูบเบอร์ ตรงนี้มีการดึงประสบการณ์จริงมาใช้บ้างมั้ย?

บีม : อย่างยูทูบที่ผมทำจะเป็นแนวพ่อบ้านใจกล้ามากกว่า (ยิ้ม) คอยดูแลลูก เลยอาจค่อนข้างห่างไกลหน่อย ซึ่งมันก็เป็นบทที่ท้าทายนะ ผมสนุกกับการรับเป็นไลฟ์โค้ชคนนี้ ได้ทำอะไรที่แปลกและแตกต่างกับสิ่งที่เราทำมาก่อนแน่นอนครับ

Q : ได้ร่วมงานกับ “แดน” ในฐานะที่เขาเป็นทั้งเบื้องหลังและเบื้องหลังครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง?

บีม : เราร่วมงานกันในลักษณะนี้มาโดยตลอด ถ้าเป็นภาพยนตร์ล่าสุดเลยก็คือ ‘คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์’ ก็ประมาณสิบปีแล้วครับ แต่ว่าในระหว่างนั้นก็จะมีเขาเป็นผู้กำกับบ้าง มีเล่นด้วยกันนิด ๆ หน่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเขาที่มาบอกว่าพี่เล่นซีรีส์นี้ให้หน่อย (ยิ้ม) จริง ๆ ก็ทำงานหนักเหมือนกันนะ และในภาพยนตร์เรื่อง ‘ทวงคืน’ มันเหมือนเป็นการเอาประสบการณ์ทั้งหมดที่เราเลยเล่นด้วยกันมา ที่เราเคยทำงานด้วยกันมา มาใส่ในบทภาพยนตร์เรื่องนี้ มันก็ทำให้การทำงานราบรื่น เพราะต้องบอกว่าการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มันก็มีเวลาที่จำกัดนิดนึงนะครับ เพราะเป็นภาพยนตร์ผี เพราะนั้นเวลาส่วนใหญ่ที่จะถ่ายคือกลางคืน เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่า เราจะถ่ายอะไร การจัดแสงก็ค่อนข้างยาก มีเอฟเฟกต์ต่าง ๆ นานา มีสิ่งที่ไม่ควรมีในการถ่ายทำภาพยนตร์ เช่น เด็ก ผมต้องเล่นเป็นคนที่มีลูก ก็จะต้องอยู่กับเด็กตลอดเวลา และเราไม่สามารถคอนโทรลเด็กได้เลย และถ่ายตอนกลางคืน เขาก็ง่วงนอน มันก็มีอะไรหลายอย่างที่เป็นข้อจำกัด เพราะฉะนั้นเวลาถ่ายทำ เราต้องอาศัยการร่วมมือเข้าใจกัน ระหว่างผู้กำกับและนักแสดง ทีมงานทุกคน

Q : “แดน” ในฐานะเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ต่างกันเยอะมั้ย “แดน” เคี่ยวกับเราแค่ไหน?

บีม : แดนเป็นคนขี้เกรงใจอยู่นะ เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร แต่วิธีการบอกของเขาจะแบบ ‘พี่บีมเล่นแบบนี้ พี่บีมอยากได้แบบนี้ พี่บีมต้องช่วยตรงนี้ให้ผมอีกนิดนึงอ่ะ…’ มันไม่เหมือนเป็นคำสั่ง แต่ก่อนหน้านี้ เวลาทำงานด้วยกัน เขาจัดมากกว่านี้ (ยิ้ม) แบบพูดตรง ๆ มากกว่านี้

Q :  เรื่องราวเกี่ยวกับการทำคอนเท้นต์ต่าง ๆ การเป็นไลฟ์โค้ช เรามีการหยิบเรื่องราวในสังคมตรงไหนมาใส่บ้างมั้ย หรืออยากให้มันสะท้อนอะไรในสังคมออกไป?

บีม : มันก็สะท้อนความเชื่อของคน สำหรับผมรู้สึกว่าไลฟ์โค้ช อย่างเราตามไลฟ์โค้ชคนนึงอยู่ บางทีเขาให้แรงบันดาลใจได้จริง ๆ นะ บางทีเราฟังคนที่พูดดี ๆ มันก็ให้กำลังใจเราได้ ในช่วงเวลานึงที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าจริง ๆ อาชีพนี้ก็ดี สำคัญกับคนอื่นเหมือนกัน (ยิ้ม) แต่คุณก็ต้องดูดี ๆ ไม่ต้องหยิบทุกอย่างที่เขาพูดมาใช้ คุณต้องคิดตามไปด้วย เวลาเขาให้มุมคิดต่าง ๆ คุณต้องคิดตามไปด้วย อันนี้สำหรับผมนะ คือผมว่าสำหรับบางคนรู้สึกไลฟ์โค้ชเหมือนกับคนขายประกัน ในสายตาคนอื่นรู้สึกคนขายประกันทำไมเขาดูน่ารำคาญจัง เขาอยากมาเสนอขายของมาก ๆ แต่ว่าในบางครั้งเขาก็สำคัญ มันมีความจำเป็นสำหรับบางคน หรือเขาทำประโยชน์ให้คนอื่นด้วยเหมือนกัน แต่เราต้องรู้วิธีหยิบจับมาใช้ครับ คือจริง ๆ ในเรื่องมันก็ไม่ค่อยแตะเรื่องนี้เท่าไหร่นะ แต่เอาเป็นว่าตัว ‘บริบูรณ์’ เป็นคาแรกเตอร์ในเรื่อง ซึ่งวิธีที่เขาสอนคนอื่นผ่านมุมมองไลฟ์โค้ชของเขาเป็นยังไง จริง ๆ ตัวละคร ‘บริบูรณ์’ ก็เรียนรู้เหมือนกัน ระหว่างที่เขาเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของเขา ในช่วงเวลาคืนนึงเขาก็รู้สึกว่า จริง ๆ แล้วส่งที่เขาเรียนรู้หรือสอนมา มันใช้ได้หรือไม่ได้ในชีวิตจริงครับ

Q :  อยากให้แฟน ๆ ดูเรื่องนี้แล้วได้สาร (Message) อะไรออกไปหลังดูจบ?

บีม : เอาตัวผมเองนะ เวลาที่ดูหนัง ผมเป็นคนไม่ค่อยหาข้อคิดอะไรจากหนัง (หัวเราะ) รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่เราเข้าไปแล้วปลดปล่อย มีความสุข แต่หนังบางเรื่อง ถ้ามานั่งคิดเขาก็สอนบางอย่างเหมือนกัน เรื่องนี้ถ้ามานั่งคิดเขาอาจสอนว่าเวลาที่คุณมีเวลาทำอะไรให้คนที่คุณรัก คุณควรทำให้เต็มที่หรือมองว่าสิ่งไหนที่สำคัญกับคุณ เป็นสิ่งที่รักมากที่สุด คุณก็ควรให้เวลาและความสนใจเขามากกว่านี้ วันนึงถึงตอนที่เขาไม่อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นไปทวงคืนถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าจะได้กลับมารึเปล่า ผมว่ามันคงเป็นธีมหนังที่ผู้กำกับเขาอยากนำเสนอด้วยครับ

Q : คาดหวังกับผลงานครั้งนี้แค่ไหน?

บีม : อยากให้ทุกคนเข้าไปดู แล้วออกมาบอกว่ามันสนุกสนาน เพราะว่ามันเป็นหนังแนวคอมมาดี้ แต่มีผีด้วย เขาเขียนบทมา เรียกว่ามีครบทุกด้าน ตัวละครมีการพัฒนาขึ้นในการเจอสถานการณ์ต่าง ๆ คือด้วนตัวละครก็มีคอนฟลิกต์อยู่แล้ว และยังต้องเจออะไรที่เขามา มันทำให้สนุกสนานมากขึ้น ก็คาดหวังให้คนดูแล้วสนุกกับตัวละครและมีความสุขกลับไปครับ

Q : อัพเดทผลงานอื่น ๆ หน่อย ปีนี้แฟน ๆ จะไดเห็นโปรเจคท์อะไรอีกบ้าง?

บีม : ปีนี้เป็นปีที่ผมทำงานออนไลน์ค่อนข้างเยอะ ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นยูทูบเบอร์ แชร์เรื่องราวภายในครอบครัว พวกงานอื่น ๆ อย่างคอนเสิร์ตก็ยังรับเล่นอยู่บ้าง แต่ตอนนี้แฟนของผมก็ท้องอยู่ ดังนั้นงานใหญ่ ๆ ก็อยากให้น้องเขาออกมา และทุกอย่างมันโอเค เราปรับตัวเข้ากับการมีสมาชิกเพิ่มให้ดีกว่าก่อน เราถึงเริ่มทำอย่างอื่น เช่นรับละครที่มันยาว ๆ ใช้เวลา เราอาจไม่มีเวลาไปรับผิดชอบงานอื่นขนาดนั้น ก็ขอเวลาจัดการเรื่องในครอบครัวก่อนครับ

Q : พอเราเป็นคุณพ่อ มีครอบครัวแบบนี้ มันส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกงานหรือบทบาทการแสดงบ้างมั้ย?

บีม : จริง ๆ ก็มีติดต่อเข้ามา เราก็จะถาม ถ้าแรงมาก ๆ ผมก็บอกเขาไปว่าอยากเล่นเป็นคนดี ๆ อยากให้ลูกจำภาพดี ๆ ของเรา ซึ่งก็บอกผู้จัดการไปเหมือนกันว่าเราอาจต้องสกรีนบทมากขึ้น ถ้าแรงมาก ๆ เราอาจไม่รับเล่นครับ ก็ต้องขอโทษต่อคนที่สนใจด้วย ที่ปฏิเสธไปบ้างครับ

Q : เราต้องมีการลิมิตเรื่องของการแสดงเลิฟซีนด้วยมั้ย เผื่อวันนึงลูกมาเห็นการแสดงของเรา?

บีม : ตอนนี้ลูกผมก็ยังไม่ดูนะ (หัวเราะ) อนาคตแต่ละเรื่องเขาก็มีมารีรัน เราก็อาจระวังเรื่องนี้มากขึ้น แต่ถ้ารับบทมาแล้ว แสดงว่าเราอ่านบททั้งหมดแล้ว่าเราเล่นประมาณนี้ เราก็จะเล่นแหละ แต่ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเราอยากเล่นเป็นคนดี (หัวเราะ) ให้ลูกติดภาพว่าเราเป็นคนดี เป็นพ่อที่น่ารักนะ ส่วนบทคุณพ่อถ้ามันเหตุผสมผล ก็โอเคนะ จริง ๆ อายุผมก็ไม่ได้น้อยแล้ว ก็ 40 กว่า ก็ต้องดูที่บทครับ

 Q :  “บีม” และ “ดีทูบี (D2B)” ถือเป็นอีกศิลปินดังในยุค 2000  พอมา ณ วันนี้ ที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ เปลี่ยนไป โซเชียลมีเดียที่เข้ามา ความนิยมคนก็เปลี่ยนไป มันทำให้เราปรับตัวเยอะมั้ย?      

บีม : ผมว่าดาราหลายคนก็ต้องหาที่หาทางของตัวเองในแพลตฟอร์มอื่น ๆ บ้าง เดี๋ยวนี้อาจต้องแพลตฟอร์มออนไลน์ มีชาแนล มีที่ของตัวเองอยู่ คนที่คิดถึงก็เข้ามาดูได้ ผมว่ามันก็เป็นความจำเป็นของอาชีพในตอนนี้

Q :  แบบนี้จึงเป็นที่มาให้ “บีม” มาทางยูทูบเบอร์ใช่มั้ย?

บีม : มันเริ่มจากอยากแชร์เรื่องราว คือผมกับแฟน ที่เราเริ่มถ่ายยูทูบเพราะว่าเขาท้อง คือเราสองคนเป็นคนที่เรียบ ๆ เฉย ๆ วัน ๆ ก็ไม่ค่อยได้ทำอะไร เวลาผ่านไป เราก็ลืมไปแล้วว่าเราเคยใช้ชีวิตแบบไหนมาก่อน อันนี้ก็เป็นความรู้สึกของผม ก็เริ่มจากแบบนี้ ไหนถ่ายสิ (ยิ้ม) ผมจำได้ว่าเริ่มจากวันเกิดของผมเอง มาเปิดชาแนลกัน และตอนนั้นเขาท้องได้ประมาณ 3 เดือน ผมว่ามันก็เป็นไทม์มิ่งที่ดีในการเริ่มทำอะไรบางอย่าง ก็เลยถ่ายเป็นยูทูบ ‘Beam-Oil Channel’ และก็ถ่ายมาเรื่อย ๆ คนก็สนใจดี และเราก็มีโอกาสได้แสดงตัวตนของเราอีกด้าน ที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็น อย่างเวลาเราอยู่กับแฟนเรา เราอยู่กับลูก มันก็ตลกดี ดูน่ารักดี (ยิ้ม) และอย่างที่บอก ข้อดีที่สุดข้อนึงก็คือเราย้อนกลับไปดูเมื่อไหร่ก็ได้ บางที่ผมแชร์เรื่องเกี่ยวกับลูกของผมลงไปในเพจ บางทีไถ ๆ แล้วมันขึ้นมา เช่น ในปีที่แล้ว เขาน่ารัก ยังนอนบนเตียง เดี๋ยวนี้ลูก ๆ วิ่งไปวิ่งมา (หัวเราะ) ขนาดนี้แล้ว ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรแบบนี้ มันก็จะไม่มีโมเมนต์แบบนี้ให้รู้สึกเลย ถ้าถามผมนะ ว่าตอนเป็น ‘ดีทูบี’ มันเป็นยังไง เอาจริง ๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ตอนนั้นเราไม่ได้ถ่ายหรือทำอะไรไว้เลย ทั้งที่ตอนนั้นเราโคตรมีความสุขเลย แต่เราไม่ได้เก็บโมเมนต์แบบนั้นเอาไว้ มันก็น่าเสียดาย ผ่านไปเราก็ไม่ได้มีโมเมนต์แบบนั้นอีกแล้ว เลยคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่เราควรทำ

Q : หลัก ๆ เราแค่อยากเก็บความน่ารักลูกเราไว้เป็นความทรงจำ?

บีม : ใช่ครับ แรก ๆ ก็อยากเก็บไว้ และสองครอบครัวของเราเป็นครอบครัวดารา พอสุดท้ายคนก็จะรู้จักเด็ก ๆ อยู่ดีว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร และลูกผมหน้าตาเป็นยังไง มันค่อนจะหนียาก เมื่อทุกอย่างในตอนนี้อยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพียงแต่เราสามารถจะโฮลด์การที่เราจะให้ไปได้ ผมกับแฟนก็มีคุยกันว่าเราจะสอนลูกแบบไหน ให้เขามีภูมิต้านทาน หรือด้านที่น่ารักที่จะให้ทุกคนได้เห็น คือเราก็สามารถทำได้ ทั้งจากประสบการณ์ที่เรามีและจากการสอนของแฟนผม เราเลยคิดว่าตรงนี้เราสามารถแชร์เรื่องราวของเขาในบางส่วนให้คนเห็น แต่มันก็ไม่ใช่แบบลูกของผมเป็นหมีแพนด้าที่คนเห็นตลอดเวลา (ยิ้ม) ไม่ใช่แบบนั้นอยู่นั้น มันก็จะมีมุมนี้เราคิดว่าน่ารักดี เราก็อยากแชร์ แน่นอนว่าเราได้กลั่นกรองให้ลูก ๆ เราคิดมาในระดับนึงแล้วอันไหนที่ควรแชร์ครับ

Q :  บางครอบครัวค่อนข้างให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของลูก ไม่ได้เปิดเผยมาก ส่วนตัวเรามีวิธีบาลานซ์ระหว่างแบ่งปันความน่ารักของ “พี่ธีร์-น้องพีร์” ที่ตอนนี้เป็นขวัญใจแฟน ๆ มาก กับความเป็นส่วนตัวของลูกยังไง หรือมีมุมมองกับเรื่องนี้ยังไง?

บีม :  จริง ๆ เรื่องนี้มันค่อนข้างเซนซิทีฟ แต่ละคนก็ความคิดแต่ละแบบ แต่ละบ้าน แต่สำหรับผมเองมีความรู้สึกว่าผมเป็นดารา ซึ่งผมก็เกิดมาจากครอบครัวของคนธรรมดา ไม่ได้มีชื่อเสียง แต่เราเข้ามาอยู่ตรงนี้ เรามีโอกาส มีชื่อเสียงขึ้นมาและเราก็รู้ว่าการที่เรารู้จักคนอื่น หรือคนอื่นมารู้จักเราก็เป็นเรื่องที่ดีนะ และผมก็รู้สึกว่าถ้าผมสามารถส่งต่อสิ่งนี้ให้กับลูกได้ก็น่าจะดี มันก็เหมือนเป็นมรดกอย่างนึงที่ผมสามารถให้ลูกผมได้ นี่สำหรับผมนะ แต่สำหรับอื่นก็อาจคิดอีกแบบก็แล้วแต่ และก็ต้องพูดอีกอย่างว่า แม้ผมจะพยายามมอบชื่อเสียงหรือจะแชร์เรื่องราวความน่ารักให้คนอื่นเห็นแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าเขาไม่เป็นที่รักของคนอื่น มันก็จะเป็นแค่เรื่องราว เป็นไดอารี่ของในบ้านเราเท่านั้นเอง เขาก็จะไม่ได้ดัง บางทีมันก็อยู่ที่ตัวเขาด้วย ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่รักและเอ็นดูลูกของผมทั้งสองคนนะครับ บางคนอาจคิดว่าพี่บีมเปิดเผยลูกมากเกินไปรึเปล่า แต่ผมรู้ว่าลิมิตมันเป็นยังไง และเราก็รู้ตัวดีว่าเลี้ยงลูกยังไง และลูกเราจะเป็นยังไง ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ดังที่สุดในชีวิต ผมก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ว่าเดี๋ยวมันก็ลงมานะ ชื่อเสียงมันไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เราก็เรียนรู้กับมันตรงนั้น และเราก็รู้ว่าการเป็นคนดังและการไม่เป็นคนดัง มันมีข้อดีข้อเสียยังไง เพราะฉะนั้นที่เราเลือกให้ลูก มาจากสิ่งที่เราผ่านมาและเรารู้ว่าสิ่งนี้ที่พ่อให้หนู มันดีที่สุดแล้วเท่าที่พ่อทำได้ เป็นสิ่งดีที่มันกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ของผมที่ผมจะให้ลูก มันอาจไม่ถูกใจทุกคน แต่มันเลือกจากประสบการณ์ของผม ที่อยากให้สิ่งที่ดีกับลูกครับ

Q : ในฐานะที่เป็นครอบครัวคนดัง เรามีวิธีเลี้ยงลูกยังไง ได้บอก “พี่ธีร์-น้องพีร์” มั้ยว่า ทำไมคนถึงหรือรู้จักเขา หรือว่ามีคุณพ่อเป็นศิลปินนักแสดง?

บีม : เราก็บอกเขานะครับว่าพ่อเป็นเป็นใคร บางก็ให้เขาดูว่า ‘นี่พ่อออกทีวีเลยนะ’ ซึ่งหลายครั้งเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ เพราะเขาอยากดูการ์ตูนของเขามากกว่า (หัวเราะ) บางทีที่เราพาเขาไปในที่ชุมชมอาจมีคนที่รู้จักเขาเข้ามาขอถ่ายรูปบ้าง เราจะคอยบอกว่า ‘ยิ้มให้พี่เขานิดนึง’ บางทีมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนะ ถ้าเขาเหนื่อยแล้ว ผมจะสอนลูกว่า ‘พูดกับพี่ว่าบ๊ายบาย และยิ้มให้เขา แค่นี้เขาก็โอเคแล้วลูก’ และเราก็จะบอกทุกคนว่าน้องเหนื่อยนะครับ มันเป็นวิธีการแสดงออกของบ้านเราแหละ อย่างน้อยก็ได้รูปที่น้องบ๊ายบายนะ น้องยิ้มให้นะ (ยิ้ม) เขาก็เข้าใจครับ

Q :  ในบรรดาแฟนคลับของ “พี่ธีร์-น้องพีร์” มีคนที่เป็นแฟนคลับมาตั้งแต่รุ่นพ่อ เชียร์มาตั้งแต่ “ดีทูบี” บ้างมั้ย?

บีม : มีครับ บางคนชอบเข้ามาแสดงตัว บอกว่าแต่ก่อนฉันเป็นแฟนคลับพ่อ ตอนนี้เป็นแฟนคลับ ‘พี่ธีร์-น้องพีร์’ ยิ่งกว่า เขาจะใช้คำว่า ‘ยิ่งกว่า’ ด้วย (หัวเราะ) โอเคเข้าใจเป็นแฟนคลับพ่อก็ดีแล้ว แต่ว่าทำไมต้องเป็นแฟนคลับลูกยิ่งกว่า ทำไมต้องมีคำว่า ‘ยิ่งกว่า’ แต่ยังไงก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน (หัวเราะ)

Q :  รู้สึกยังไงบ้าง มันเป็นเวลาที่ยาวนานมากตั้งแต่ “ดีทูบี” ยันเรามีลูก?

บีม : ยาวนานจริง ๆ ก็ต้องขอบคุณทุกคนจริง ๆ ที่ยังนึกถึงกันและไม่หายไปไหน พวกครอบครัวเราก็ยังอยู่ตรงนี้ ผมรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่น้องกันตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ผมเป็นดีทูบีแล้ว ก็ยังคิดถึงทุกคน

Q :  ฟังดูแล้วอบอุ่นมาก ถ้า “บิ๊ก-ปาณรวัฐ กิตติกรเจริญ” คงเป็นสิ่งที่ยิ่งอบอุ่น?

บีม : ช่วงก่อนโควิดก็มีบ้าง แต่คือลูกก็ยังเล็ก หลังโควิดนิดหน่อย ผมก็มีโอกาสได้พาหลานไปเจอกับคุณพ่อคุณแม่เขาเหมือนกัน รู้สึกดีที่มีโอกาสได้พบเจอบ้าง เหมือนไปรดน้ำให้จิตใจคุณพ่อคุณแม่ของบิ๊กชุ่มชื่นขึ้น มีเด็ก ๆ ไปบ้านท่าน นิดหน่อยก็ยังดี เราก็ทำเท่าที่ทำได้ แต่ของผมยังไม่เท่าไหร่ แฟนคลับที่ไปดูแลคือดีมาก แฟนคลับบิ๊กคือเหนียวแน่นมาก จริง ๆ ทั้งแดนและบีมต้องฝากขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยดูแลคุณพ่อคุณแม่ให้ ขอบคุณจริง ๆ ครับ (ยิ้ม)

Q : ถามถึง “พี่ธีร์-น้องพีร์” ฉายแววเข้าวงการ เป็นทายาทศิลปินนักแสดง ตามรอยคุณพ่อแล้วรึยัง?

บีม : อันนี้ต้องให้ลูกตัดสินใจเองครับ ถ้าถามผมเรื่องนี้ผมรู้สึกเฉย ๆ มันต้องเป็นมาจากข้างในเขาเอง หรือเขาโตขึ้นมาในระดับนึง จนเขารู้เรื่องเองว่าเขาอยากทำงานในวงการจริงจังนะ ผมไม่บังคับให้ลูกไปถ่ายละคร อันนั้นคือไม่ใช่สิ่งที่ผมจะทำแน่นอน ต้องอธิบายว่ามันค่อนข้างต่างกันเหมือนกัน ระหว่างการเป็นที่รู้จักและการทำงานในวงการ มันต่างกันมันแยกจากกัน ทำงานมันมีความรับผิดชอบด้วยครับ มันต้องให้เขาโตพอก่อน ให้เขาได้เรียนรู้ว่า ถ้าทำงานในวงการต้องใช้ความรับผิดชอบนะ ถ้าหนูอยากทำงานตรงนี้ ต้องให้มาบอกเราเอง และต้องให้เข้าใจว่าหนูกำลังใจทำอะไรครับ

Q :  ตอนนี้ “ออย” เป็นยังไงบ้าง ต้องมีดูแลอะไรเป็นพิเศษมั้ย กับการท้องแฝดที่สอง?

บีม :  ก็มีช่วงนึงที่เขาแพ้ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน เวลาแพ้เราต้องนอนแยกห้องกันเลย (หัวเราะ) เขาจะจมูกไวมาก ทีนี้เขาไม่ชอบกระเทียมมาก ๆ เลย บางทีเราออกไปข้างนอก ก็กินกระเทียมไปไม่รู้ตัว บางทีเขาใส่ลงในผัด ซึ่งคนกินเข้าไปก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกระเทียม หรือแม้แต่เรากินน้ำจิ้มซีฟู้ด แล้วมีกระเทียมในน้ำจิ้มซีฟู้ด เขาจะรู้สึกหงุดหงิดมาก เขาจะบอกว่า ‘เรานอนไม่หลับเลย เธอหายใจออกมาเป็นกระเทียม’ ผมก็โอเค แต่ตอนนี้ก็จมูกเขาดีน้อยลงแล้ว

Q : ท้องแฝดครั้งที่ 2 แล้ว คุณหมอให้คำแนะนำยังไง?

บีม : เขาจะมีความกลัวเรื่องปากมดลูกสั้นนิดนึงครับ จะมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดนิดนึง เวลาไปหาคุณหมอแต่ละครั้งก็จะวัดว่าอยู่ในเกณฑ์อันตรายหรือยัง คราวที่แล้วจะมีสถานการณ์แบบนั้นเหมือนกันครับ

Q :  ทำไมถึงตัดสินใจมีลูกแฝด ทั้ง 2 ครั้งแบบนี้ เป็นความตั้งใจของเราหรือว่าน้องมาเอง?

บีม : ไม่ได้ตั้งใจครับ เขามาเอง ต้องเล่าอย่างนี้ว่าทุกคนคงรู้อยู่แล้วว่าเราพึ่งการแพทย์ เพราะเราพยายามวิธีธรรมชาติแล้วมันไม่ได้ ก็ยากครับในตอนเริ่มทำ ทำไปครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ก็ไม่ได้ พอครั้งที่สามก็รู้สึกว่าอายุเริ่มเยอะขึ้นแล้ว อันนี้พูดถึงการเก็บไข่ พอจะเก็บไข่ครั้งที่สาม เลยคิดว่าหรือเราจะเก็บตัวอ่อนนี้ไว้ก่อน และเราก็เผื่อไว้ในอนาคต เพราะไม่รู้ว่าจะมีครั้งที่สี่ครั้งที่ห้ามั้ย ก็มีความเสี่ยงขึ้นไปเรื่อย ๆ เลยคิดว่าครั้งที่สามเราก็เก็บตัวอ่อนไว้ก่อน และมาเก็บไข่ใหม่อีกที เป็นครั้งที่สี่ ซึ่งครั้งที่สี่ได้เป็น ‘พี่ธีร์กับน้องพีร์’ ออกมา ซึ่งเหมือนเป็นตัวอ่อนที่เหลือสองตัวสุดท้ายที่สมบูรณ์ เวลาใส่ก็ใส่ให้ทีละสองตัวอยู่แล้ว ก็ติดทั้งสองคน เลยเป็น ‘พี่ธีร์กับน้องพีร์’ ทีนี้รอบที่สามยังเหลือตัวอ่อนที่แช่อยู่ ซึ่งเราก็ไม่รู้เพศ ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าถ้า ‘พี่ธีร์กับน้องพีร์’ เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ก็อาจจบแล้วแค่นั้น แต่ว่ามันก็มีความรู้สึกอยากมีลูกสาวสักคนนึง ด้วยความที่ผมกับออยมาจากครอบครัวที่มีพี่น้องเยอะ เราทั้งคู่มาจากครอบครัวที่มีพี่น้อง 4 คน เลยรู้สึกว่าจริง ๆ มีลูกเยอะก็อบอุ่นดี เขาก็มีก๊วน พอโตขึ้นก็ไม่เหงา เรามีความรู้สึกแบบนั้น เลยกัดฟันดูแล้วกัน ลูกโตระดับนึงแล้ว เรารู้สึกว่าน่าจะมีได้อีก และยังมีตัวอ่อนที่ฝากคุณหมอไว้ด้วย เลยเอากลับมาใส่ดู ใส่ทีละสองก็ติดทั้งสอง เลยมาเป็นท้องนี้

Q : เตรียมตัวมีครอบครัวใหญ่ เป็นคุณพ่อคุณแม่ลูกแฝดสี่คนยังไง?

บีม : อันนี้ก็ไม่รู้เลยครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไง เราก็ต้องลอง จริง ๆ เราก็เตรียมตัวแหละ แต่ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไรข้างหน้าเหมือนกัน เราก็พอรู้ลู่ทางแล้ว และเราก็เตรียมคนไว้แล้วว่าเราจะจัดการกับปัญหาที่มันน่าจะเกิดขึ้นยังไงบ้าง ก็ลองดูครับ ไม่ลองก็ไม่รู้ (ยิ้ม)

Q : คิดว่าจะปิดอู่เลยมั้ย?

บีม : คิดว่านะครับ (หัวเราะ) เกินกว่านี้เราก็เหนื่อยมากแล้ว ออยก็อายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น คือถ้าจบจากท้องนี้แล้วมีอีก เราว่ามันอาจเกินไปสำหรับเขา พอแล้วครับ

Q :  มีลูกหลายคนแบบนี้ แอบมีกังวลมั้ยว่า จะมีคนคิดว่ารักไม่เท่ากัน?

บีม : เราห้ามความคิดใครไม่ได้ ซึ่งจริง ๆ เรารักลูกเท่ากันนะ ผมว่าพ่อแม่ทุกคนก็รักลูกเท่า ๆ กัน เพียงแต่การปฏิบัติคนนี้กับอีกคนให้เหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกคนมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว บางคนอาจต้องการมากกว่าอีกคนนึง มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ อย่างลูกชายของผมคนโต พี่ธีร์เขาชอบอยู่คนเดียว ชอบมีสมาธิอยู่กับตัวเอง บางทีอ่านหนังสือ เล่นคนเดียว เขามีโมเมนต์แบบนั้น ส่วนคนน้องชอบเข้าหา เป็นคนแบบชอบผู้คนมากกว่านิดนึง เราก็ต้องดูว่าเราจะปฏิบัติต่อลูกยังไง แต่ความรักความปรารถนาดีที่เรามีให้เขา มีให้เท่ากันครับ

Q : ในหลาย ๆ บ้านพอมีลูก ความหวานของคู่สามีภรรยาจะลดลง เพราะต้องโฟกัสไปอยู่ที่ลูก คู่เราเป็นแบบนั้นมั้ย และมีวิธีเติมความหวานกันยังไง?

บีม : เราก็พยายามจะพูดคุยกัน พยายามดูแลให้เหมือนเดิม แต่ต้องพูดตรง ๆ ว่ามันไม่มีทางเหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็ต้องยกไปให้กับเด็ก ๆ แล้ว คือมันก็เป็นอะไรที่เราต้องจัดการ ให้มีเวลาส่วนตัว อาจฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงบ้างสักชั่วโมงสองชั่วโมง มันก็มีครับ (ยิ้ม) ในความสัมพันธ์ของทุกคนมันก็ต้องการช่วงเวลาแบบนี้อยู่แล้ว

Q :  สิ่งที่ประทับใจในตัว “ออย” ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ คืออะไร?

บีม :  รู้สึกว่าที่เขายอมท้องสองครั้งนี่เขาก็เป็นสุดยอดคุณแม่แล้ว และเป็นท้องแฝดทั้งคู่เลยด้วย ก็เรียกว่าเขาเสียสละตัวเองมาก ๆ แล้ว มันคงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วครับที่เขาทำให้กับครอบครัวของเราได้ เรื่องอื่นก็ดีอยู่แล้ว ออยเป็นคนที่จัดการทุกอย่างในบ้านได้ดี แต่เรื่องของการท้องนี้มันต้องใช้กำลังใจสูงมาก ๆ เลยครับในการสิ่งนี้ ต้องขอบคุณเขาครับ

Q :  นิยามคำว่า “ความรัก” ในแบบของ “บีม” ในวันนี้ให้ฟังหน่อย?

บีม : มันคงเป็นแบบกำลังใจให้กันและกันมั้ง ความรักที่ดีมันต้องการการเสียสละให้กันครับ อาจต้องมีทั้งให้และรับด้วย ก็เป็นผู้ให้และผู้รับที่ดี (ยิ้ม)

Q : ยิ่งเห็น “ออย” เสียสละ อุ้มท้องลูกแฝดแบบนี้ ยิ่งเห็นคำว่ารักชัดเจน?

บีม : เขาก็บอกตลอดว่ารับผิดชอบด้วยกันนะ (หัวเราะ)

Q :  อย่างที่รู้กันว่าคนทำงานในวงการบันเทิง อาจไม่ค่อยมีเวลา เคล็ดลับในการดูแลครอบครัวของ “บีม” คืออะไร?

บีม : เราต้องเข้าใจและเปิดใจคุยกัน มีปัญหาอะไรเราก็ต้องคุยกันให้เคลียร์ ไม่อย่างนั้นมันจะบานปลายออกไปเรื่อย ๆ ครับ คือผมกับออยเป็นคนไม่ค่อยพูดเหมือนกัน หลัง ๆ ก็จะพยายามพูดเยอะขึ้น อย่างเรารู้สึกว่าตรงนี้เราปล่อยผ่านไม่ได้ เราต้องคุย ต้องอธิบาย หาความเข้าใจตรงกลาง ผมว่าออยก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ที่ต้องพยายามเข้าใจและต้องอดทนต่อกันและกันครับ (ยิ้ม)

Q : ฝากผลงานและฝากถึงแฟน ๆ?

 บีม : อยากขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่ติดตามเป็นกำลังใจให้ทั้งบ้านเราเลย ขอบคุณแทน ๆ ลูกด้วย เพราะเขาอาจไม่มีโอกาสมาขอบคุณตรงนี้ด้วยตัวเอง ผมก็ขอขอบคุณที่เอ็นดู และรักเขานะครับ และไม่รู้จะพูดตอบแทนได้ยังไง เราก็รักทุกคนเหมือนกันที่เข้ามาและมายินดีกับครอบครัวของเรา ในช่วงต่าง ๆ ของชีวิต ขอบคุณมาก ๆ เลย และแฟนคลับของผมเองก็ขอบคุณมากเลย ในช่วงนี้อาจไม่ค่อยมีเวลาไปพูดคุย ไปเจอกัน อาจเห็นพี่ในมุมอื่น ที่ไม่ใช่การเป็นนักร้องหรือดารา ก็ขอบคุณที่ยังไม่ลืมกันและขอฝากหนัง ‘ทวงคืน’ ด้วยเนอะ มันเป็นผลงานที่ทุกคนอาจรอคอยและยังเป็นการทำงานร่วมกับน้องแดนด้วย ถ้าเผื่อคิดถึงพี่บีมก็ข้าไปดูได้ในโรงภาพยนตร์ วันที่ 13 ก.ค. นี้ รับรองว่ามันจะได้รับความสนุก อิ่มเอม คุณจะได้หัวเราะกลับไปแน่นอน เพราะเราตั้งใจทำให้มันออกมาเป็นนั้นจริง ๆ ครับ ส่วนคอนเสิร์ตก็ยังมีเรื่อย ๆ อาจก็มีคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ยิบย่อย แล้วแต่ว่าใครจะจ้างเรา (หัวเราะ) ก็ไปเจอกันได้ที่งาน แต่คอนเสิร์ตใหญ่พี่ขอเวลาให้ครอบครัวของพี่มั่นคง ลงตัวเรียบร้อยก่อน น่าจะเป็นปีหน้า เดี๋ยวเราเจอกันครับ

เรียกว่าเป็นบทสัมภาษณ์ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากหนุ่ม “บีม” และทำให้เข้าใจคำว่า “ครอบครัว” ได้มากขึ้นจริง ๆ

ภาพ : beamkawee, oilatiporn