นายชินโซ อาเบะ วัย 67 ปี ถือเป็นหนึ่งในนักการเมืองทรงอิทธิพลและได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างมากที่สุดคนหนึ่งจากชาวญี่ปุ่น หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเซเค ในกรุงโตเกียว เมื่อปี 2520 อาเบะมีโอกาสไปศึกษาระยะสั้นเป็นเวลา 3 ภาคการศึกษา เกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย


เมื่อเดือนทางกลับมายังญี่ปุ่นอีกครั้งในปี 2522 อาเบะเข้าทำงานที่บริษัทโกเบ สตีล แต่ลาออกเมื่อปี 2525 เพื่อเข้าสู่เส้นทางการเมืองอย่างเต็มตัว โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย ( แอลดีพี ) แล้วไต่เต้าจากการทำงานหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสมียนในกระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการส่วนตัวของหัวหน้าพรรคแอลดีพีในเวลานั้น


จนกระทั่ง อาเบะได้รับความสนับสนุนจากพรรคแอลดีพี ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2536 โดยลงสมัครในจังหวัดยามางุชิ และชนะการเลือกตั้ง หลังจากนั้น อาเบะก้าวสู่การดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระหว่างปี 2543-2546 ในสมัยนายกรัฐมนตรีโยชิโร โมริ และนายกรัฐมนตรีจุนอิจิโร โคอิซุมิ ต่อจากนั้น อาเบะได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ


ทั้งนี้ ในสมัยร่วมทีมกับรัฐบาลโคอิซุมินั้น อาเบะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่หัวหน้าคณะเจรจากับรัฐบาลเปียงยาง ในประเด็นชาวญี่ปุ่นซึ่งถูกลักพาตัวไปในเกาหลีเหนือ และเคยติดตามโคอิซุมิเยือนเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2545 ซึ่งได้พบกับ นายคิม จอง-อิล ผู้นำสูงสุดในตอนนั้นด้วย


ในเดือน เม.ย. 2549 โคอิซุมิลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคแอลดีพี จึงต้องมีการหยั่งเสียงภายในครั้งใหม่ ซึ่งอาเบะชนะและได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นสมัยแรก ต่อจากนั้นในเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน อาเบะสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะมีอายุ 52 ปี ถือเป็นผู้นำรัฐบาลอายุน้อยที่สุด นับตั้งแต่เจ้าชายฟุมิมาโระ โคโนเอะ ซึ่งดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2483 ในวัย 49 ปี


อย่างไรก็ตาม อาเบะประกาศลาออก “อย่างกะทันหัน” เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2550 โดยให้เหตุผลเกี่ยวกับความไม่พอใจของประชาชนต่อกฎหมายต่อต้านการก่อการร้าย ที่รวมถึงการส่งทหารญี่ปุ่นไปร่วมประจำการในอัฟกานิสถาน แต่แหล่งข่าวหลายกระแสระบุตรงกันว่า “เป็นเรื่องสุขภาพ” ซึ่งต่อมาอาเบะยอมเปิดเผยว่า กำลังรักษาตัวจากโรคลำไส้อักเสบ


หลังเว้นวรรคทางการเมืองเพื่อไปรักษาตัว อาเบะกลับมาอีกครั้งด้วยการชนะการเลือกตั้งที่จังหวัดยามางุชิเช่นเดิม เมื่อปี 2552 แล้วได้รับการเลือกตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อเดือน ก.ย. 2555 และควบตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งภายในพรรคแอลดีพี และสถานการณ์ของรัฐบาลในเวลานั้น ภายใต้การบริหารของพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น ( ดีเจพี )


ต่อมาในวันที่ 16 พ.ย. 2555 นายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะ ลาออกจากตำแหน่งและจัดการเลือกตั้งใหม่ในเดือน ธ.ค.ปีเดียวกัน ซึ่งพรรคแอลดีพีและพันธมิตรร่วมกันคว้าชัยชนะ อีกทั้งยังสามารถจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงสนับสนุนที่มากกว่าสองในสาม บริหารประเทศเรื่อยมาจนพรรคแอลดีพีเข้าสู่การเป็นรัฐบาลสมัยที่ 4 ติดต่อกัน สร้างประวัติศาสตร์ให้อาเบะเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุด โดยการสร้างประวัติศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2563 ทำลายสถิติ 2,798 วัน ของนายเอซากุ ซาโตะ ดำรงตำแหน่งระหว่างปี 2507-2515 ซึ่งอาเบะมีศักดิ์เป็นเหลนของซาโตะ


ทว่าในวันเดียวกับที่มีการทำลายสถิติและสร้างประวัติศาสตร์ดังกล่าว คือวันที่อาเบะเดินทางไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเคโอ ในกรุงโตเกียว เป็นครั้งที่ 2 ภายในระยะห่างกันเพียงสัปดาห์เดียว ก่อนประกาศลาออกเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2563.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES