ซึ่งที่ประชุมรัฐสภามีมติล้มการคำนวณแบบสูตรหาร 100 ของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ก่อนที่จะมีมติเสียงข้างมาก 354 เสียง ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 37 เสียง เห็นด้วยกับคำแปรญัตติของ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ โดยใช้สูตรหาร 500 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของพรรคฝ่ายค้านทั้งในและนอกห้องประชุม

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการ “พลิกเกม” หนีตายของ “บิ๊กตู่-พรรคพลังประชารัฐ” ภายหลังจากเรตติ้งดิ่งเหว แถมยังโดนทุบจากหลายกระแสมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งปัญหาข้าวยากหมากแพงที่หนักหน่วงมากขึ้นเรื่อยๆ จากผลพวงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก นอกจากนั้นยังเจอเอฟเฟกต์จากปรากฏการณ์ “แลนด์ไสลด์ชัชชาติ” ในศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่บรรดาผู้สมัครที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายรัฐบาลกอดคดกันแพ้ราบคาบ และที่สำคัญคือเสียงสะท้อนจากผลสำรวจของ “นิด้าโพล” เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 2/2565” ที่บ่งชี้ถึงคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย และเรตติ้งของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องออกแอ๊คชั่น “ทุบโต๊ะ” ในวงประชุมแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหลังการประชุม ครม.เมื่อต้นสัปดาห์ ว่า “ผมเอาสูตรหาร 500 ใครเห็นอย่างไร” ซึ่งบรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ก็พากันเออออไปตามๆ กัน ทำเอา “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกอาการแกว่งๆ อ้ำอึ้งตอบว่า “ขอวิเคราะห์ดูก่อน แต่ไม่มีปัญหาอะไร”

จากอากัปกิริยาที่เกิดขึ้นกลางวงประชุม ก็ทำเอาใครต่อใครสงสัยว่า อาจจะพัวพันไปถึงเสียงนินทาอื้ออึงที่ว่ามีดีลลับดูไบก่อนหน้านี้หรือไม่?

งานนี้แม้รัฐบาลจะสามารถพลิกเกมดันสูตรหาร 500 ในสภาได้สำเร็จ แต่ทาง “โทนี่ วู้ดซัม” ทักษิณ ชินวัตร ก็ได้ออกมาวิเคราะห์นับนิ้วคำนวณตัวเลข ส.ส.ที่พรรคฝ่ายค้าน หรือ พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ตามนิยาม “โทนี่” น่าจะได้หลังการเลือกตั้งประมาณ 300 ที่นั่ง โดยมองว่าถ้าเพื่อไทยได้ปาร์ตี้ลิสต์น้อยลง พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย ก็อาจจะได้มากขึ้น ขณะที่พรรคฝ่ายรัฐบาลจะได้เสียง ส.ส.ประมาณ 200 ที่นั่งเท่านั้น

ซึ่งสอดคล้องกับการคำนวณของ สมชัย ศรีสุทธิยากร โฆษกคณะกรรมาธิการฯ และอดีต กกต. ที่ประเมินว่า การคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ภายใต้สูตรหาร 500 ในระบบจัดสรรปันส่วนผสม พรรคที่ชนะในระบบเขตมาก จะได้บัญชีรายชื่อน้อยลง ส่วนพรรคที่แพ้เลือกตั้งในระบบเขต หากมีคะแนนนิยมในบัตรใบที่สองมาก จะได้รับการจัดสรร ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อมาก โดยพรรคก้าวไกล อาจเป็นพรรคที่ได้ประโยชน์จากระบบนี้มากที่สุด และอาจมี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้ถึง 30 คน ส่วนพรรคเพื่อไทยแม้ว่าจะได้บัญชีรายชื่อน้อยลง แต่จะไม่ถึงขนาดเป็นศูนย์ หากส่งลงครบ 400 เขต น่าจะมี ส.ส.บัญชีรายชื่อได้จำนวนหนึ่ง ขณะที่พรรคเล็ก-พรรคจิ๋ว แม้ดูเหมือนจะได้อานิสงส์จากระบบนี้ แต่ต้องเบียดแย่งกันมากขึ้นจากสัดส่วนที่ลดลง

ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาเปิดแผน “พลิกเกมสู้กลับ” โดยแบไต๋ว่าอาจมีการตั้ง “พรรคครอบครัวเพื่อไทย” โดยส่งบุคคลที่ต้องการใส่ใน ส.ส.บัญชีรายชื่อให้เต็ม แล้ววางกลไก การรณรงค์หาเสียงให้เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อย่างเดียว และให้มาเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย โดยบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย อาจต้องโอนมาอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคครอบครัวเพื่อไทย ขณะที่บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยอาจจะเป็นพวกแถวสองแทน

แม้งานนี้ “โทนี่” จะมั่นใจในสมการการเมืองในมือ และพรรคเพื่อไทยมีแผนแก้เกม เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการคำนวณสูตรหาร 500 ก็ตามที แต่หากมองในบริบทกติกาตามรัฐธรรมนูญหลับยังคงติดล็อก 250 ส.ว. ที่ยังคงมีอำนาจโหวตเลือกนายกฯ อยู่!

ทั้งนี้หากมองกันในแง่ “สถิติการเมือง” จะเห็นได้ชัดว่า ผลคะแนนในการเลือกตั้งช่วงที่ผ่านมา ล้วนมีนัยสำคัญซ่อนอยู่ ไล่ตั้งแต่ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 9 หลักสี่-จตุจักร ที่พรรคพลังประชารัฐพ่ายแพ้แบบหมดรูปในพื้นที่ฐานเสียงเดิมของตนเอง ขณะที่พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล กุมคะแนนเสียงส่วนใหญ่ และตอกย้ำด้วยการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าคะแนนเสียงส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในฝั่งของฝ่ายค้าน

ดังนั้นหากการเลือกตั้งใหญ่หลังจากนี้ พรรคฝ่ายค้านสามารถกวาดคะแนนเสียงเอาชนะองคาพยพฝ่ายรัฐบาล ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คะแนนแต้มห่างกันชัดเจน การจะใช้อภินิหาร 250 ส.ว.มาดันทุรังพลิกเกมในสภา ถวายบัลลังก์ให้ “บิ๊กตู่” อีกรอบ ก็คงจะเป็นการปลุกไฟทางการเมือง ซึ่งจะทำส่งผลให้บรรยากาศเกมการเมืองข้างถนนถูกฉายภาพขึ้นอีกครั้ง จนทำเอาบ้านเมืองวนลูปกลับไปสู่ความวิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่หากผลการเลือกตั้งครั้งหน้า เป็นการฉายภาพซ้ำของการเลือกตั้งปี 2562 สุดท้ายแลนด์สไลด์เดียวที่คนไทยจะได้เห็น ก็คงหนีไม่พ้นแลนด์ไสลด์ 250 ส.ว.เป็นแน่แท้

ขณะที่การแก้เกมสูตรหาร 500 อีกทาง ก็คือการยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดว่า กติกาสูตรคำนวณหาร 500 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากสุดท้ายแล้วเรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่าเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์การเมืองเคลื่อนตัวเข้าสู่สภาวะเดดล็อกทางการเมืองที่อลหม่านวุ่นวาย ถึงแม้จะมีทางออกทั้งออกเป็นพระราชกำหนด, ออกประกาศ กกต., ร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย และหากมีเหตุจำเป็นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กกต. สามารถประกาศเลื่อนจัดการเลือกตั้งออกไปก่อนได้ แต่อาจเป็นช่องโหว่ให้มีการใช้เทคนิคทางกฎหมาย ที่เป็นการร่าง “กติกา” แบบเอื้อ “กติกู” ให้ฝ่าผู้กุมอำนาจหรือไม่

ปรับโฟกัสมาที่เส้นทางอำนาจข้างหน้าของรัฐบาล ก็ยังคงเห็นถึงความไม่แน่นอน โดยจับอาการจากท่าทีแกว่งของ “บิ๊กป้อม” ที่สะท้อนให้เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของ “พี่น้อง 3 ป.” ที่ยังร้าวลึกจนยากจะผสานกันเป็นหนึ่ง และยิ่งมีข่าวลือหนาหูว่า “บิ๊กตู่” เตรียมที่จะแยกทางตั้งพรรคใหม่ เพื่อให้สอดรับกับสูตรหาร 500 โดยอาศัยฐานเสียงจากกลุ่ม กปปส. โดยจะมี “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นคีย์แมนหลักในการขับเคลื่อนพรรคใหม่

ดังนั้นคงจะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า…การเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งจะถือเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ในมหากาพย์เกมอำนาจของ “พี่น้อง 3 ป.” จะจบลงอย่างไร ซึ่งท้ายที่สุดแล้วประชาชนจะเป็นคนเลือก.