เมื่อวันที่ 6 ส.ค. พระอาจารย์ ศักดา สุนฺทโร แห่งวัดไร่ป่าธรรม ภิมุก จ.ตราด พระนักเทศน์ชื่อดัง ที่ได้เผยแพร่ธรรมะดีๆ บนโลกออนไลน์มากกว่า สองพันคลิป ผ่านเฟซบุ๊กชื่อ “พระศักดา สุนฺทโร” ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 2 ล้านคน  ได้โพสเฟซบุ๊ก เปิดเผยเรื่องราวหลังถูกมิจฉาชีพอ้างชื่อ พระอาจารย์ศักดา หลอกให้โอนเงินในรูปแบบต่างๆ ว่า

สืบเนื่องจากช่วงบ่ายของวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา อาตมาได้รับโทรศัพท์จากลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตกำนันตำบลหนึ่งใน จ.ตราด ว่าได้ทำธุรกรรมทางการเงินตามที่พระอาจารย์เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งอาตมาก็เอะใจจึงได้สอบถามถึงเรื่องราว เนื่องจากที่ผ่านมาอาตมาไม่เคยให้ใครหรือไหว้วานลูกศิษย์ทำธุรกรรมทางการเงินแทน ซึ่งโยมคนดังกล่าวได้เล่าว่ามี เบอร์โทรศัพท์แปลก ๆ ได้โทรเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งเมื่อโยมท่านนั้นรับสายปลายสายได้บอกว่าเป็นอาตมา โยมท่านนั้นก็เชื่อสนิทใจเพราะน้ำเสียงคล้ายอาตมามาก ปลายสายระบุชัดพร้อมอ้างว่า “…อาตมามีเหตุความจำเป็นต้องใช้เงินจำนวน 50,000 บาท และให้รีบออกไปที่ร้านสะดวกซื้อ (เซเว่นอีเลฟเว่น) ที่ใกล้ที่สุด เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินให้…”

ด้วยความเชื่อสนิทใจโยมท่านนั้น จึงได้เดินทางไปที่ร้านสะดวกซื้อ ก่อนที่ปลายสายจะให้ส่งโทรศัพท์ให้กับพนักงานตรงเคาน์เตอร์  โดยปลายสายบอกกับพนักงานให้เติมเงินออนไลน์เข้าไปในเบอร์ต่าง ๆ มากมายหลายเบอร์ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 50,000 บาท รวมแล้วทั้งหมด 50 สลิป พอโอนเงินเสร็จเรียบร้อยเบอร์นั้นก็ไม่สามารถโทรติดต่อได้อีกเลย  

หลังเกิดเรื่องทางโยมท่านนี้ พนักงานเซเว่นฯ พร้อมอาตมาจึงเดินทางไปแจ้งความ สภ.อ.เมืองตราด และนำเบอร์ที่โทรนั้น พร้อมใบแจ้งความ ไปที่ศูนย์ทรู เพื่อหาคนที่จดทะเบียนใช้เบอร์นี้ต่อไป  อย่างไรก็ตามด้วยความหวังดีของโยมท่านนี้ เกรงว่าอาตมาอาจจะถูกกักตัวอยู่ในวัดออกไปไหนไม่ได้ จึงให้มาทำการเติมเงินแทน แต่อาตมาก็ไม่เคยให้โยมไปจ่ายอะไรแทนที่ไหนอย่างไรมาก่อนเลย จากที่รู้จักกันมาเกือบ 20 ปี ประกอบกับพนักงานเซเว่นฯ ก็บอกว่าเสียงในโทรศัพท์คล้ายๆ พระอาจารย์ศักดา อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่ทางโยมท่านก็อายุมากแล้วบอกว่า นี่แหละพระอาจารย์แน่นอน ด้วยความหวังดีของโยมแท้ๆ จึงเกิดเหตุแบบนี้ 

ด้าน พ.ต.อ.นาวิน ธีระวิทย์ ผกก.สภ.เมืองตราด กล่าวว่า หลังรับเรื่องได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบ พร้อมให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหายเพื่อมาประกอบสำนวนทางคดี ขณะเดียวกันได้ทำหนังสือสอบถามไปทางผู้ให้บริการ เพื่อตรวจสอบว่าบัตรเติมเงินถูกใช้ไปที่ไหนบ้าง ซึ่งพฤติการณ์ของคดีนี้คนร้ายได้มีการทำธุรกรรมโดยซื้อบัตรเติมเงินใบละ 1,000 บาทก่อนที่จะกระจายไปจำนวน 50 เบอร์ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาในการตรวจสอบสักระยะเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไป.