สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ว่านางทินเน ฟาน แดร์ สเตรเทน รมว.พลังงานของเบลเยียม กล่าวว่า “ถึงเวลาแล้ว” ที่สหภาพยุโรป (อียู) ต้องร่วมกันตัดสินใจอย่างจริงจังได้แล้ว เพื่อควบคุมราคาก๊าซไม่ให้พุ่งทะยานมากไปกว่านี้ ก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว


หากดำเนินการได้ มาตรการดังกล่าวจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ครัวเรือนในภูมิภาค ได้ถึงปีละ 770 ยูโร (ราว 27,876.59 บาท) มิเช่นนั้น ยุโรปจะต้องเผชิญกับฤดูหนาวอันหนาวเหน็บไปอีกอย่างน้อย 5-10 ปี หากไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง
ขณะที่เยอรมนีซึ่งเป็นประเทศในยุโรป ที่นำเข้าพลังงานจากรัสเซียมากที่สุด เร่งสำรองพลังงานในคลังยุทธศาสตร์ให้ได้อย่างน้อย 85% ภายในเดือน ต.ค. นี้ ควบคู่ไปกับการแสวงหาแหล่งพลังงานสำรองแห่งใหม่ แทนที่รัสเซีย


ทั้งนี้ องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) เคยเผยแพร่รายงาน เมื่อเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่ายุโรปควรมีแผนสำรองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที กรณีที่รัสเซียตัดการส่งก๊าซธรรมชาติเข้าสู่ภูมิภาค “อย่างสิ้นเชิง” ในฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง นัยว่าเป็นข้อต่อรองทางการเมือง ท่ามกลางวิกฤติการณ์ในยูเครนที่ยังคงตึงเครียด


แม้ไออีเอยังคงมองว่า สถานการณ์เรื่องพลังงานระหว่างยุโรปกับรัสเซียยังไม่น่าถึงจุดตึงเครียดระดับนั้น อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน อียูออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง ลดการพึ่งพิงถ่านหินและน้ำมันจากรัสเซียให้ได้มากที่สุด เพื่อหวังเป็นการเดินหน้ายกระดับแรงกดดันทางเศรษฐกิจให้แก่รัฐบาลมอสโก แต่พยายามหลีกเลี่ยงการยุ่งเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ เนื่องจากยังคงต้องพึ่งพิงอุปทานจากรัสเซียอย่างมาก.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES