เมื่อวันที่ 5 ก.ย. นายพิทักษ์ ศิริวงศ์ นายกสมาคมพิทักษ์ไทย พา 2 ผู้เสียหายเข้าขอความช่วยเหลือต่อสื่อมวลชน หลังทั้งสองถูกหลอกให้เปิดบัญชีธนาคาร อ้างว่าจะเดินบัญชีให้ สุดท้ายถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีกว่า 800 ล้านบาท โดยรายแรกคือ น.ส.สุรนุช (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี เปิดเผยว่า ได้รู้จักกับ น.ส.ณัฐยาน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 46 ปี กับ สามี (เสียชีวิตเมื่อ ต.ค.64) ทั้งสองเป็นเจ้าของบริษัทหลายแห่ง ต่อมาตนต้องการกู้เงินธนาคารซื้อบ้านแต่ติดที่ไม่มีการเดินบัญชี ทางสามี น.ส.ณัฐยาน์ จึงเสนอว่า ให้ไปเปิดบัญชีธนาคาร แล้วจะเดินบัญชีทำสเตตเมนต์ให้จะได้กู้ธนาคารผ่าน ด้วยความที่อยากมีบ้าน จึงตกลงไปเปิดบัญชีธนาคารครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2563 โดยนำสมุดบัญชีธนาคาร และบัตรเอทีเอ็ม รวมถึงแอพพลิเคชั่นธนาคาร ไว้กับเขาหมดเพราะไว้ใจเชื่อใจ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่คิดว่าจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด จากนั้นก็ไม่เคยสนใจขอดูความเคลื่อนไหวบัญชีเลย กระทั่งสามี น.ส.ณัฐยาน์ เสียชีวิต เมื่อเดือน ต.ค.64 น.ส.ณัฐยาน์ ก็เข้ามาดูแลแทนโดยให้ตนเปิดบัญชีเพิ่ม

น.ส.สุรนุช เผยอีกว่า กระทั่งวันที่ 20 พ.ค.65 มีหนังสือจากสรรพากรพื้นที่ร้อยเอ็ด ส่งมาหา เป็นหนังสือเตือนให้ไปชำระเงินภาษีอากรคงค้าง โดยระบุชื่อของตนในฐานะผู้ต้องหาร่วมรับผิดชอบหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง ระบุว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าวค้างค่าภาษีอากร สำนักงานสรรพกร พื้นที่สระแก้ว ลงวันที่ 8 ก.พ.65 เป็นเงิน 867,958,621.33 บาท โดยให้ไปชำระที่สรรพากรพื้นที่อาจสามารถ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นกำหนดจะถูกดำเนินคดีตามมาตรา 32 แห่งประมวลรัษฎากร

น.ส.สุรนุช เปิดเผยว่า หลังจากรับหนังสือ ตนถึงกับช็อก เพราะไม่เคยรู้เรื่องหรือเกี่ยวข้องกับห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเลย คงเป็นการนำหลักฐานบัตรประชาชนไปเปิดบัญชีนำไปใช้ในเรื่องดังกล่าว จึงนำเรื่องไปปรึกษาทนายความ พร้อมทั้งโทรฯไปชี้แจงกับทางสรรพากร รวมถึงโทรฯหา น.ส.ณัฐยาน์ ซึ่งอ้างว่าจะจัดการให้ สุดท้ายก็เงียบหายไปติดต่อไม่ได้ จึงหมดหนทางจึงนำเรื่องมาร้องสื่อมวลชน เพราะตนถูกหลอกนำเอาหลักฐานไปใช้เปิดบริษัทจนต้องรับผิดชอบเงินกว่า 800 ล้านบาท

ส่วนอีกราย นายกุลวิวัฒน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี เปิดเผยว่า ถูก น.ส.ณัฐยาน์ หลอกว่าจะเดินบัญชีให้เพื่อกู้ซื้อบ้านเหมือนกัน จึงไปเปิดบัญชี ธนาคารให้ จากนั้นผ่านไป 3 เดือน ได้มาพบกับ น.ส.สุรนุช พอทราบเรื่อง คิดว่าถูกหลอกแน่ จึงตรวจสอบพบว่ามีชื่อตนปรากฏเป็นกรรมการบริหารบริษัทแห่งหนึ่งคนเดียว มีเงินหมุนเวียนกว่า 200 ล้านบาท จึงรีบไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่ สน.โชคชัย เป็นหลักฐาน และเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นในเงินดังกล่าว ต้องการให้ตรวจสอบหาตัวผู้ที่มาหลอกตนไปเปิดบัญชี เพราะหลังรู้ตัวก็ไม่สามารถติดต่อได้ คาดว่าคงทำกันเป็นขบวนการใหญ่ เพราะมีเงินหมุนเวียนเข้า-ออกวันละหลายล้านบาท ตอนนี้ยอมรับว่าเครียดมาก เพราะไม่มีปัญญาหาเงินไปชดใช้ค่าภาษีจำนวนมากได้ จากที่แค่อยากกู้ซื้อบ้าน แต่กลับต้องมาถูกหลอก ยังไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร จึงชวนกันมาร้องผู้สื่อข่าวนำเสนอข่าวเผื่อมีใครช่วยเหลือได้.