เมื่อวันที่ 23 ต.ค.นายทรงธรรม สุขสว่าง ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.พังงาเข้าร้องเรียนที่ทำเนียบรัฐบาลคัดค้านมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในอุทยานฯ หมู่เกาะ สิมิลัน ของกรมอุทยานฯ  ว่า กรมอุทยานฯ ได้ออกประกาศเรื่องการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในอุทยานฯ ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.2550 จากนั้นในปี 2555 กรมอุทยานฯ ได้ร่วมกับนายธรรมศักดิ์ ยีมิน ผู้เชี่ยวชาญนิเวศวิทยาแนวปะการัง คณะวิทยาศาสตร์ ม.รามคำแหง และคณะศึกษาขีดความสามารถการรองรับได้ด้านนันทนาการอุทยานฯ สิมิลัน จ.พังงา และต่อมาในปี 2558 ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานประเมินขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการ (ด้านกายภาพ) ในพื้นที่อุทยานฯ ทางทะเล จนกระทั่งในช่วงปี 2559 -2560 ที่เกิดปัญหานักท่องเที่ยวแออัดอย่างมากในพื้นที่อุทยานฯ สิมิลัน จึงนำมาสู่การตั้งคณะทำงานประเมินขีดความสามารถในการรองรับและกำหนดมาตรการใช้ประโยชน์ด้านนันทนาการเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2560

นายทรงธรรม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้คณะทำงานฯ ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก สกว. โดยกรมอุทยานฯ ได้ร่วมกับคณะวนศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในการศึกษาขีดความสามารถในการรองรับการใช้ประโยชน์ของอุทยานฯ สิมิลัน และที่สำคัญมีการจัดประชุมร่วมกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหลายครั้งตลอดช่วงปี 2561 จนได้ข้อสรุปในการออกประกาศกรมอุทยานฯ เมื่อวันที่ 4 ต.ค. เรื่องการปิดการพักแรมอุทยานฯ สิมิลัน  และประกาศกรมอุทยานฯ ฉบับวันที่ 9 ต.ค. เรื่องการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในอุทยานฯ สิมิลัน และกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับยานพาหนะประเภทเรือที่เข้าไปในอุทยานฯ สิมิลัน  ยืนยันว่ากรมอุทยานฯ ไม่ได้เพิ่งมานึกจะทำเรื่องนี้ แต่ได้มีการศึกษาเรื่องมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในอุทยานฯ มาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี ซึ่งผู้ประกอบการรายเก่าของท้องถิ่นส่วนมากเห็นด้วย แต่ผู้ประกอบการรายใหม่ยังขาดความเข้าใจเรื่องนี้อยู่
               
นายทรงธรรม กล่าวอีกว่า อุทยานฯ สิมิลัน ไม่ได้เป็นพื้นที่เดียวที่ดำเนินมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพราะได้ออกประกาศเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี2550จากปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยว จึงได้มีการศึกษาและประเมินความสามารถในการรองรับได้ของอุทยานฯ โดยเฉพาะอุทยานฯ ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของนักท่องเทียว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสภาพทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันเกิดจากการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ แหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งมีนักท่องเที่ยวเข้าไปเป็นจำนวนมากจนอาจนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของสภาพธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมทำให้ยากต่อการฟื้นฟูและบริหารจัดการให้คงสภาพเดิมได้

นายทรงธรรม กล่าวต่ออีกว่า โดยอุทยานฯ ที่มีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวตามประกาศกรมอุทยานฯ เรื่องการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในอุทยานฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ย.2550 จำนวน 10 แห่ง ได้แก่ อุทยานฯ ห้วยน้ำดัง จ.เชียงใหม่ พักค้างคืนไม่เกิน  1,034 คน/วัน อุทยานฯ ดอยผ้าห่มปก จ.เชียงใหม่ พักค้างคืนไม่เกิน  1,000 คน/วัน เส้นทางศึกษาธรรมชาติดอยผ้าห่มปก เข้าได้ 10คน/ชุด ระยะห่างแต่ละชุดไม่น้อยกว่า 10 นาทีไม่เกิน 100 คน/วัน อุทยานฯ อินทนนท์ จ.เชียงใหม่  พักค้างคืนได้ไม่เกิน 810 คน/วัน อุทยานฯ สุเทพ-ปุย จ.เชียงใหม่ พักค้างคืนไม่เกิน  850 คน/วัน อุทยานฯ ภูกระดึง จ.เลย พักค้างคืนได้ไม่เกิน5,300 คน/วัน อุทยานฯ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา พักค้างคืนไม่เกิน 2,600 คน/วัน อุทยานฯ เอราวัณ จ.กาญจนบุรี พักค้างคืนไม่เกิน 742 คน/วัน อุทยานฯ แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี พักค้างคืนได้ไม่เกิน 1,500 คน/วัน อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์ เที่ยวแบบไปกลับ 2,065 คน หมุนเวียนแต่ละแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลา พักค้างคืนไม่เกิน  620คน/วัน และอุทยานฯ สิมิลัน จ.พังงา เดิมกำหนดให้เที่ยวแบบไปกลับ 1,450 หมุนเวียนแต่ละแหล่งท่องเที่ยวในแต่ละช่วงเวลา และพักค้างคืนได้ไม่เกิน 180 คน/วัน

นายทรงธรรม กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามปัญหาความแออัดของนักท่องเที่ยวมักเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว ดังนั้นจึงขอประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการไปเที่ยวในอุทยานฯ เหล่านี้ที่มีการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวไว้ สามารถติดต่อสอบถามหรือจองที่พักแรมก่อนโดยสามารถสอบถามได้ที่ กรมอุทยานฯ  www.dnp.co.th  เฟซบุ๊กแฟนเพจกรมอุทยานแห่งชาติ  โทรศัพท์หมายเลข 025620760-2 หรือโทรศัพท์สอบถามได้ที่อุทยานฯ ดังกล่าวโดยตรง  โดยขณะนี้อุทยานฯ หลายแห่ง เช่น อุทยานฯ เขาใหญ่ มียอดจองที่พักค้างแรมยาวไปถึงช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. 2562 จึงขอให้นักท่องเที่ยวติดตามข้อมูลข่าวสารให้พร้อม หรือสามารถไปท่องเที่ยวยังอุทยานฯ ข้างเคียงอื่นๆ ที่มีธรรมชาติสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแห่งไม่แพ้กันได้.