เมื่อวันที่ 5 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (4 ต.ค.) ที่ห้องประชุม สภ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. แถลงข่าว 2 คดีสำคัญที่เป็นที่สนใจต่อสังคม สื่อมวลชน และกระทบต่อภาพลักษณ์ท่องเที่ยวของประเทศไทย โดยมี พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.วันไชย เอกพรพิชญ์ รอง ผบช.ภ.8 พล.ต.ต.ศุภเศรษฐ์ โชคชัย รอง ผบช.ทท. พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผบก.สส.ภ.8 พล.ต.ต.ศรัญญู ชำนาญราช ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม

คดีแรกจับกุมผู้ต้องหาแก๊งชาวต่างชาติร่วมกันปล้นทรัพย์ชาวรัสเซีย เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ย. 65 เวลาประมาณ 15.10 น. ขณะที่นายเยฟกินี อับดุลลิน สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหายกับภรรยา ได้ไปนั่งที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที ได้มีชายชาวต่างชาติ 5 คน เดินเข้ามาหาผู้เสียหาย ชายคนหนึ่งได้พูดกับผู้เสียหายว่า ให้ผู้เสียหายนำเงินมาให้ 3,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมพูดข่มขู่ ถึงแม้ นายเยฟกินี อับดุลลิน จะบอกว่าไม่มีเงิน กลุ่มคนร้ายจึงได้เข้ามาดึงโทรศัพท์ออกจากมือของผู้เสียหาย และใช้กำลังประทุษร้ายต่อผู้เสียหาย เพื่อบังคับให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ ผู้เสียหายเกิดความกลัว จึงได้โอนเงินสกุลบิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลมูลค่าประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปยังบัญชีแอพพลิเคชั่น Tronlink (กระเป๋าเงินดิจิทัล) ของกลุ่มคนร้าย หลังจากนั้นกลุ่มคนร้าย 4 คน ได้เดินออกไปขึ้นรถยนต์ตู้ สีดำ หมายเลขทะเบียน ฮค 4666 กรุงเทพมหานคร ที่จอดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ เหลือเพียงนายซัลมาน ที่ได้พูดจาข่มขู่และบอกผู้เสียหายว่าให้โอนเงินส่วนที่เหลือมาให้ พร้อมกับให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อไว้ จากนั้นได้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันสีแดงออกไป

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยงานร่วมกันสืบสวนติดตามตัวกลุ่มชายชาวต่างชาติดังกล่าว ปรากฏพบกลุ่มคนร้ายมี 6 คน ได้แก่ 1.นายอังเดร นิจโกรอดต์เซฟ สัญชาติคาซัคสถาน อายุ 37 ปี (ถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 65) ทำหน้าที่ตรวจสอบที่อยู่ผู้เสียหาย/จัดหารถยนต์ตู้และที่พัก 2. นายซัลมาน ยูมาเยฟ สัญชาติคาซัคสถาน อายุ 56 ปี (ออกหมายจับ) ทำหน้าที่ร่วมกันพูดจาข่มขู่ให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว 3. นายคอบาคอฟ อาสคาย สัญชาติคาซัคสถาน อายุ 49 ปี (ออกหมายจับ) ทำหน้าที่ร่วมกันพูดจาข่มขู่และใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย 4. นายซิงกิส อามาดอฟ สัญชาติเยอรมัน อายุ 39 ปี (ออกหมายจับ) ทำหน้าที่ร่วมกันพูดจาข่มขู่ให้ผู้เสียหายเกิดความกลัว/ล่ามแปลภาษา 5. นายซิง มิคาเอล สัญชาติเยอรมัน อายุ 35 ปี (ออกหมายจับ) ทำหน้าที่ร่วมกันพูดจาข่มขู่และใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย และ 6. นายดานิล อูเกย์ สัญชาติรัสเซีย อายุ 42 ปี (ออกหมายจับ) ทำหน้าที่ขับรถตู้คันก่อเหตุ

โดยเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมดกระทำความผิดฐาน “ร่วมกันปล้นทรัพย์, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจ, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือยอมจำนนต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน ของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือยอมจำนนต่อสิ่งนั้น” ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัว รวมทั้งดำเนินการประสานองค์การตำรวจสากล (INTERPOL) เพื่อออกหมายแดง (Red Notice) เพื่อดำเนินการจับกุมตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับคดีแก๊งต่างชาติร่วมกันปล้นสกุลเงินดิจิทัลมูลค่า 1.8 ล้านบาท มีผู้ต้องหา 6 คน หลบหนีออกนอกประเทศ 5 คน สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 คน คือนายอังเดร นิจโกรอดต์เซฟ สัญชาติคาซัคสถาน อายุ 37 ปี ขณะนี้ฝากขังอยู่ที่เรือนจำอำเภอเกาะสมุย ซึ่งทางตรวจคนเข้าเมืองได้เพิกถอนวีซ่าพร้อมขึ้นบัญชีดำถาวร หลังจากการตรวจสอบพบอีกว่านายอังเดร อยู่ประเทศไทยมานาน 18 ปี เปิดบริษัททำธุรกิจรถเช่าอยู่ที่พัทยา จ.ชลบุรี เข้าข่ายนอมินี จึงได้ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มคดีนอมินีกับนายอังเดร และจับกุมคนไทยที่มาเป็นนอมินีให้ และเตรียมเอาผิดเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่อนุญาตให้นายอังเดรเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรด้วย

เช่นเดียวกับนายเยฟกินี อับดุลลิน สัญชาติรัสเซีย ผู้เสียหาย ที่มาเปิดบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศไทยมานาน 3 ปี โดยใช้วีซ่าธุรกิจ ได้สั่งการให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเข้าไปตรวจสอบการทำธุรกิจว่าเข้าข่ายนอมินีหรือไม่ หากพบว่าใช่ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีด้วย พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ตรวจคนเข้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี และตำรวจท่องเที่ยวเกาะสมุย ดำเนินการกวดขันชาวต่างชาติที่อยู่เกินกำหนดระยะอนุญาต หรือโอเวอร์สเตย์ ตรวจบริษัท/หจก. ที่อาจมีคนต่างชาติเป็นเจ้าของโดยใช้คนไทยเป็นนอมินี และการอนุญาตเข้ามาในราชอาณาจักรให้พิจารณาปัจจัยต่างๆ ให้สอดคล้องกับเหตุผลตามวีซ่าหรือสิทธิในการเดินทางเข้ามา

ส่วนคดีที่สอง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 65 ได้มี น.ส.สุวนันท์ (สงวนนามสกุล) ผู้กล่าวหา และนายอภิชัย (สงวนนามสกุล) ในฐานะพยาน เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจยศ จ.ส.ต.นายหนึ่ง ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ สภ.เกาะสมุย พร้อมให้การว่าเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 65 เวลาประมาณ 23.30 น. น.ส.สุวนันท์ ผู้กล่าวหา ได้มายังหน่วยบริการประชาชนบ้านหน้าทอน เนื่องจากนายชัยวัฒน์ สามี ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เกาะสมุย 6 นาย จับกุมตัว มายังหน่วยบริการประชาชนบ้านหน้าทอน พร้อมด้วยของกลางยาบ้า 2 เม็ด ก่อนจะถูกตำรวจชื่อ จ่าเบียร์ ได้เรียกรับเงินเพื่อไม่ให้นำเดินคดีกับสามีเป็นจำนวน 50,000 บาท และมีการต่อรองราคากัน จนกระทั่งตกลงจ่ายเงินกันเพียง 6,000 บาท และขณะอยู่ที่หน่วยบริการประชาชน จ่าเบียร์ ได้พาผู้กล่าวหาเข้าไปพูดคุยในห้องอีกห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องที่สามีอยู่และได้พูดจาคุกคามทางเพศ ซึ่งผู้กล่าวหาได้อัดคลิปเสียงการพูดคุยขณะอยู่ในห้องดังกล่าวไว้ หลังจากที่จ่ายเงิน 2,000 บาทแล้ว ผู้กล่าวหากับสามีก็กลับบ้าน โดยผู้กล่าวหามีพยานหลักฐานคลิปเสียงที่ได้อัดคลิปเสียงไว้ระหว่างเกิดเหตุ ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการถอดคลิปเสียงที่ได้ยินการสนทนากันระหว่างผู้กล่าวหา และ จ.ส.ต.ชรัฏฐ์กรณ์ สการันต์

จากการสอบสวนผู้กล่าวหาร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขู่ พูดจาคุกคามทางเพศ และเรียกรับสินบนอันเป็นความผิดตามกฎหมาย เข้าลักษณะการกล่าวหาเจ้าพนักงานว่ากระทำความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 159 ซึ่งสำนวนคดีอาญาดังกล่าวอยู่ในอำนาจการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 28 (2) เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า คดีนี้ผลการสอบพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำความผิดจริง และเป็นคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย ระหว่างดำเนินคดีอาญาจึงให้ออกจากราชการไว้ก่อน.