สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ว่า สำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) กระบอกเสียงของรัฐบาลเปียงยาง รายงานว่า นายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุด ลงพื้นที่สังเกตการณ์และให้คำแนะนำทางเทคนิคกับกองกำลังด้านนิวเคลียร์ของประเทศ “อย่างใกล้ชิด” ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หนึ่งในนั้นคือการทดสอบขีปนาวุธติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์หลอก เพื่อยกระดับ “การป้องปรามด้านนิวเคลียร์”
(2nd LD) N.K. leader inspects training of tactical nuclear weapon units: KCNA https://t.co/LqMD1i30kR
— Yonhap News Agency (@YonhapNews) October 10, 2022
ขณะเดียวกัน รายงานของเคซีเอ็นเอระบุด้วยว่า การฝึกซ้อมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนนี้ มีการจำลองสถานการณ์ การโจมตีศูนย์บัญชาการทางทหาร ท่าเรือหลัก และสนามบินหลายแห่งในเกาหลีใต้ด้วย เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพและส่งสัญญาณไปยังอีกฝ่าย ว่า กองทัพประชาชนเกาหลีมีความพร้อมระดับสูงตลอดเวลา ในการเป็นฝ่ายโจมตี และทำลายเป้าหมายที่ต้องการได้ทุกเมื่อ

นอกจากนี้ เคซีเอ็นเอกล่าวถึงการฝึกซ้อมครั้งนี้ว่า “เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” เนื่องจากสหรัฐและเกาหลีใต้ จัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ในเวลาเดียวกัน
อนึ่ง กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าการยิงขีปนาวุธ “คือการทดสอบที่เป็นปกติ” และ “เป็นไปตามหนึ่งในนโยบายพื้นฐานของการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ” ตลอดจน “เสถียรภาพของภูมิภาค” จากการข่มขู่รุกรานโดยตรงของสหรัฐ และการทดสอบขีปนาวุธของกองทัพ ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อการบินพลเรือน และประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธอย่างน้อย 7 ครั้งแล้ว ภายในระยะเวลาห่างกันเพียง 14 วัน หนึ่งในนั้นคือการยิงขีปนาวุธนำวิถีพิสัยกลาง (ไออาร์บีเอ็ม) ผ่านน่านฟ้าทางเหนือของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2560 ที่รัฐบาลเปียงยางยิงขีปนาวุธผ่านน่านฟ้าบางส่วนของญี่ปุ่น
ขณะที่หลายฝ่ายในเกาหลีใต้ยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับการที่เกาหลีเหนืออาจทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ภายในปีนี้ ซึ่งจะเป็นครั้งที่ 7 และเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้คาดการณ์กรอบระยะเวลาไว้ระหว่างวันที่ 16 ต.ค.-7 พ.ย. ที่จะถึง และวิเคราะห์ด้วยว่า การที่เกาหลีเหนือเพิ่มความถี่ของการยิงขีปนาวุธในระยะนี้ “อาจเป็นสัญญาณ” ว่าการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ครั้งต่อไป “กำลังจะเกิดขึ้น”.
เครดิตภาพ : REUTERS