‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกและเจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลก แสดงความเห็นโต้ตอบต่อคำถามของนักวิเคราะห์ในระหว่างการประชุมสรุปผลดำเนินการของบริษัทกับนักลงทุนและนักวิเคราะห์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2565 ซึ่งเขาได้รับคำถามว่า บริษัทจะปรับตัวอย่างไร ถ้าหากเศรษฐกิจของสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
มัสก์ ตอบว่า เขาเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ในตอนนี้รู้ดีว่าแนวโน้มโลกกำลังมุ่งหน้าสู่การใช้รถยนต์ไฟฟ้า และคงเป็น ‘เรื่องที่โง่เขลา’ ที่คิดจะซื้อรถยนต์ที่ยังใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในตอนนี้ เพราะว่าต่อไปข้างหน้า มูลค่าคงเหลือหลังจากซื้อของรถยนต์เหล่านี้จะตกต่ำลงอย่างมาก และเขายืนยันว่า เทสลา กำลังอยู่ในจุดที่ได้เปรียบมาก
มัสก์ กล่าวว่า ไม่ใช่ว่า เทสลา จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ แต่อาจเรียกว่าได้ว่า บริษัทมีความสามารถที่ยืนหยัดและรับผลกระทบดังกล่าวได้ โดยเน้นว่า ตอนนี้มีคนจำนวนมากที่ตัดสินใจว่าจะไม่ใช้รถยนต์ประเภทที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอีกต่อไป
จากข้อมูลในรายงานประจำไตรมาสที่ 3 ในปีนี้ของ Kelley Blue Book แม้ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังคิดเป็นสัดส่วนเพียง 5.34% ของตลาดรถยนต์โดยรวมในปี 2565 โดยมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายได้ในไตรมาสที่ 3 จำนวน 193,000 คัน ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สามารถขายได้ราว 115,000 คัน
เทสลา รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ว่าอยู่ที่ 21,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 822,822 ล้านบาท) ขณะที่รายได้สุทธิอยู่ที่ 3,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 126,588 ล้านบาท)
มัสก์ ได้ยืนยันในการประชุมว่า บริษัทของเขายังคงมุ่งมั่นกับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต่อไป โดยจะไม่มีการลดปริมาณการผลิตอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม เทสลา ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหลายประการในปีนี้เช่นเดียวกับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่น ๆ ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบและราคาวัตถุดิบ รวมถึงชิ้นส่วนที่พุ่งสูงขึ้น ในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทเคยแถลงว่า มีปัญหาเรื่องชิ้นส่วนและวัตถุดิบในการผลิตอย่างมาก เนื่องจากโรงงานในเซี่ยงไฮ้ของบริษัท ต้องหยุดทำงานระหว่างเกิดการระบาดของโควิด-19 และผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
มัสก์ กล่าวว่า ในจำนวนรถยนต์ 2,000 ล้านคันในโลกนั้น มีรถยนต์เทสลาอยู่ประมาณ 3.5 ล้านคัน และบริษัทยังต้องพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของการทำให้มีรถเทสลาในสัดส่วน 1% ของจำนวนรถยนต์ทั้งหมดในโลกนี้
แหล่งข่าว : businessinsider.in
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES