เมื่อวันที่ 16 ส.ค. รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก รวมไปถึงวิเคราะห์สถานการณ์การแพร่ระบาดของประเทศไทย ระบุว่า “จำนวนติดเชื้อใหม่ของไทยเราเมื่อวานนี้เป็นอันดับที่ 6 ของโลกแล้ว” ซึ่งหากลองรวมจำนวนการตรวจด้วยวิธี ATK ทั้งจากหน่วยงานและประชาชนที่ตรวจด้วยตนเอง ก็มีสิทธิที่จะติดอันดับท็อป 5 ได้

การไม่รวม จะเกิดผลตามมาตามธรรมชาติของโรค 3 อย่างคือ การเจ็บป่วย การเสียชีวิต และการระบาดต่อเนื่อง “สิ่งที่ควรทำในการต่อสู้การระบาดหนักเช่นนี้ คือ การหยุดนิ่ง ปูพรมตรวจอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องจนกว่าจะกดการระบาดได้ ยุตินโยบายเปิดเกาะเปิดท่องเที่ยวเปิดประเทศ นำเสนอข้อมูลสถานการณ์จริงให้สังคมได้ตระหนักรู้และตัดสินใจปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ปรับเปลี่ยนวงนโยบายและวิชาการเดิม และมุ่งหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้เป็นวัคซีนหลักของประเทศ”

เลิกใช้คำว่า “ล็อกดาวน์” หากความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ล็อกดาวน์ เพราะเป็นการด้อยค่าล็อกดาวน์ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้แสดงให้เห็นว่าได้ผลแน่นอน “แต่ที่ทำให้ไม่ได้ผลมาตลอดดังที่เห็น เพราะความ “ทิพย์” ของมาตรการ และมาตรการอื่นที่จำเป็นต้องทำนั้นก็ไม่มีความพร้อมเพียงพอ ทั้งเรื่องข้อจำกัดในระบบการตรวจคัดกรองโรค วัคซีน และอื่นๆ” ล็อกดาวน์คือการทำให้หยุดนิ่งในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อจะได้ลดการติดต่อพบปะกัน ตัดวงจรการระบาดในช่วงเวลานั้น ควบคู่ไปกับการดำเนินมาตรการตรวจหาคนติดเชื้อแล้วแยกกักตัวและดูแลรักษา

“หากทู่ซี้ใช้วิธีการเดิมต่อไป สิ่งที่จะตามมาแน่นอนคือ สถานการณ์ระบาดรุนแรง กระจายไปทั่ว และต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด และหากบ้าจี้ ให้เปิดเมือง เปิดค้าขาย เปิดท่องเที่ยว ก็ควรต้องยอมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ การระบาดหนักหน่วง จนสุดท้ายก็จะกลับเข้าโหมดหมดตาเดินบนกระดานในที่สุด” สำหรับประชาชนอย่างพวกเราทุกคน ขอเน้นย้ำว่าสถานการณ์วิกฤติ ควรเตรียมตัว เตรียมงาน เตรียมสถานที่พัก เตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเผื่อยามที่มีคนในบ้านเจ็บป่วยไม่สบาย เตรียมอุปกรณ์ป้องกันให้เพียงพอ วางแผนการเงินการใช้จ่าย ระมัดระวังมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบต่างๆ และเตรียมใจที่จะสู้ศึกสงครามโรคระบาดนี้ในระยะยาว “ใส่หน้ากากนะครับ สองชั้น ชั้นในเป็นหน้ากากอนามัย ชั้นนอกเป็นหน้ากากผ้า สำคัญมาก ด้วยรักและห่วงใย”

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Thira Woratanarat