สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าวเมื่อวันพุธ เกี่ยวกับการที่ นายอีลอน มัสก์ อภิมหาเศรษฐีนักธุรกิจหมายเลขหนึ่งของโลก ซื้อกิจการบริษัททวิตเตอร์ เมื่อปลายเดือนที่แล้วว่า นับจากนี้ ความร่วมมือและความสัมพันธ์ระหว่างมัสก์กับ “ประเทศอื่น” ถือเป็น “เรื่องที่ควรค่าแก่การจับตา” และการที่ มัสก์ ซื้อกิจการทวิตเตอร์ “ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงหรือไม่” ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า “ยังไม่ใช่ประเด็นที่ต้องพูดถึง”


ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นหลายแห่งของสหรัฐรายงานว่า รัฐบาลวอชิงตันกำลังพิจารณาตั้งคณะทำงาน เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านความมั่นคง เนื่องจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของทวิตเตอร์ รองจากมัสก์ คือ บริษัทโฮลดิ้งแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ( เคเอชซี ) และสำนักงานของเจ้าชายอัล วาลีด บิน ทาลาล อัล ซาอุด และปัจจุบัน กองทุนความมั่นคั่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารและนายกรัฐมนตรี ทรงดำรงตำแหน่งประธาน เป็นผู้ถือครองหุ้นรายใหญ่ที่สุดในเคเอชซี


นอกจากนี้ มัสก์ ถือเป็นนักธุรกิจตะวันตกเพียงไม่กี่คน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลปักกิ่ง จากการที่นครเซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่ตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในต่างประเทศ ขนาดใหญ่ที่สุดของเทสลา อย่างไรก็ตาม ต่อมาทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ ว่าแผนการดังกล่าว “ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง”.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES