น.ส.แจ็คกี้ หวาง ผู้อำนวยการ กูเกิล ประเทศไทย เปิดเผยว่า กูเกิล, เทมาเส็ก และ Bain & Company ได้เผยแพร่รายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉบับที่ 7 (e-Conomy SEA Report – Through the waves, towards a sea of opportunity) โดยระบุว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าสินค้ารวม (Gross Merchandise Volume: GMV) สูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 65 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรกในปี 59 ถึง 3 ปี หรือเติบโตขึ้นถึง 20% จากปีที่ผ่านมา
โดยรายงานฉบับนี้ได้เจาะลึกถึงแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกในภาคธุรกิจต่างๆ ได้แก่ อีคอมเมิร์ซ การท่องเที่ยวออนไลน์ การขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ สื่อออนไลน์ และบริการด้านการเงินดิจิทัล รวมทั้งครอบคลุมถึงสถานะและแนวโน้มของการระดมทุนในภาคเทคโนโลยีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเน้นย้ำถึงบทบาทของผู้บริโภค ธุรกิจ นักลงทุน และภาครัฐในการพัฒนาสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม
สำหรับประเทศไทย คาดว่าเศรษฐกิจดิจิทัลจะมีมูลค่าสินค้ารวมสูงถึง 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.29 ล้านล้านบาท ในปี 65 โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 17% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าอยู่ที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถึงแม้ว่าต้องรับมือกับความท้าทายต่างๆ ก็ตาม ทั้งนี้คาดว่าในปี 2568 มูลค่าสินค้ารวมเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยจะแตะ 5.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 15% และคาดว่าจะเติบโตขึ้น 2 เท่า มีมูลค่าประมาณ 1-1.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 73 อีคอมเมิร์ซ บริการส่งอาหารออนไลน์ และการซื้อของสดออนไลน์ เป็นบริการดิจิทัล 3 อันดับแรกที่มีอัตราการใช้บริการสูงที่สุดในกลุ่มคนไทยที่อยู่ในเขตเมือง
ทั้งนี้ในส่วนของอีคอมเมิร์ซ เป็นแรงผลักดันที่สำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย คิดเป็น 63% ของมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวมในปี 65 โดยตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย ในขณะที่อัตราการใช้บริการอีคอมเมิร์ซของไทยอยู่ที่ 94% ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคฯ รองจากสิงคโปร์
ภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้น 8% จากปีก่อน โดยมีมูลค่าสินค้ารวมสูงถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 65 และคาดว่าจะแตะ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 68 และ 23% ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยตั้งใจจะใช้บริการอีคอมเมิร์ซมากยิ่งขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
ส่วนการขนส่งและบริการส่งอาหารออนไลน์ โดยรวมคาดจะว่ามีมูลค่าสินค้ารวมแตะ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2565 เพิ่มขึ้น 12% จากปี 64 และคาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 20% หรือแตะ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 68

ตลาดบริการส่งอาหารออนไลน์กลับสู่แนวโน้มการเติบโตในทิศทางเดิมหลังจากที่มีการเติบโตถึง 3 เท่าในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยคาดว่าจะเติบโต 11% มีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 65 และคาดว่าจะแตะถึง 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 68 ซึ่งจะทำให้ตลาดบริการส่งอาหารออนไลน์ของไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองจากอินโดนีเซีย
ภาคการขนส่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง และคาดการณ์ว่า จะเติบโตถึง 36% มีมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 65 และพุ่งขึ้นสู่ระดับ 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 68
ขณะที่ สื่อออนไลน์ (บริการวิดีโอออนดีมานด์ เพลงออนดีมานด์ เกม) มีการเติบโตที่ชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมาที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์สืบเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 โดยในปี 65 มีการเติบโต 10% และมูลค่าสินค้ารวมอยู่ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตของเพลงออนดีมานด์และวิดีโอออนดีมานด์ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ด้านโฆษณาออนไลน์ยังคงรักษาการเติบโตไว้ได้คงเดิม ส่วนเกมออนไลน์พบว่าการใช้บริการลดลงเนื่องจากผู้คนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าภาคธุรกิจสื่อออนไลน์จะเติบโต 12% หรือคิดเป็นมูลค่า 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 68
สำหรับการท่องเที่ยวออนไลน์ คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งจากการที่ผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวหรือออกไปทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้านกันมากขึ้น ซึ่งมีระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีการเติบโต 139% จากปี 64 คิดเป็นมูลค่าสินค้ารวม 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 65 และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 22% หรือมีมูลค่าสินค้ารวมที่ 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 68 การค้นหาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไทยแตะระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่ถูกอั้นไว้ ทั้งนี้ คาดว่าภาคการท่องเที่ยวจะค่อยๆ ฟื้นตัว และใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นตัวสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 ในปี 62 เนื่องจากมีความท้าทายหลายประการ เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น การขาดแคลนของอุปทาน และมาตรการจำกัดการเดินทางของประเทศจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป เป็นต้น ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็ได้รับผลกระทบจากราคาที่พุ่งสูงขึ้น
บริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services: DFS) ซึ่งได้แก่ การชำระเงิน การโอนเงินต่างประเทศ การกู้ยืม การลงทุน และประกัน เติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักในปี 65 เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาทำธุรกรรมทางการเงินผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้นหลังจากที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19
การเติบโตของบริการด้านการเงินดิจิทัลจากนี้ไปจนถึงปี 68 จะถูกขับเคลื่อนโดยการกู้ยืมและการลงทุนซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (Compounded Annual Growth Rate: CAGR) ประมาณ 40% และ 45% ตามลำดับ บริการธนาคารดิจิทัล (Digibank) ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยยังคงมีความภักดีต่อผู้ให้บริการด้านการเงินที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างยาวนาน พิจารณาจากยอดเงินฝากในปัจจุบันและการลงทุนในหลายด้าน
สำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยี มูลค่าการซื้อขายตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 64 จนถึงครึ่งแรกของปี 65 เพิ่มขึ้น 15% การระดมทุนในภาคเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นแหล่งรวมการลงทุนด้านเทคโนโลยี ถึงแม้ว่านักลงทุนจะระมัดระวังมากขี้นในสภาวะเศรษฐกิจมหภาคในปัจจุบัน
การลงทุนในบริการด้านการเงินดิจิทัล (Digital Financial Services: DFS) มีสัดส่วนการลงทุนสูงที่สุดในประเทศไทย โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 65 การลงทุนในบริการด้านการเงินดิจิทัลแซงหน้าอีคอมเมิร์ซขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง โดยมีสัดส่วนเกือบครึ่งของการลงทุนทั้งหมดในไทยเช่นเดียวกับทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มูลค่าการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจากการลงทุนระดับ Series-C จำนวนมากในภาคธุรกิจบริการด้านการเงินดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ
“จากรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฉบับที่ 7 ในปีนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วภูมิภาคมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรคในช่วงเวลาอันยากลำบากที่ผ่านมา สำหรับประเทศไทยปีนี้การเติบโตจากภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจดิจิทัลไทย รวมทั้ง ตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยยังคงมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รองจากอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ กูเกิล ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นในการช่วยวางรากฐานเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนและได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมทั้ง การสนับสนุนเงินทุนเพื่อเปิดโอกาสในการเข้ารับการฝึกอบรมทักษะดิจิทัลแก่คนไทยทั่วประเทศในโครงการ “Samart Skills” ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้.