เมื่อวันที่ 13 พ.ย. พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์  ผบช.สตม. พร้อมด้ว พล.ต.ต.ภาณุมาศ บุญญลักษณ์ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ พล.ต.ต.ธนิต  ไทยวัชรามาศ พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคในช่วงวันที่ 10 ต.ค.-12 พ.ย.65 โดยมีเป้าหมายหลัก เป็นคนต่างด้าวที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง โดยสามารถจับกุมคนต่างด้าวอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้ทั้งสิ้น 785 ราย /จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 1,249 ราย /ดำเนินการประชาสัมพันธ์การแจ้งที่พักอาศัยตามมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ในพื้นที่ กทม. จำนวน 2,723 แห่ง และมีผลการเปรียบเทียบปรับ กรณีเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครองเคหะสถานไม่แจ้งที่พักอาศัยกรณีรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยตาม ม.38 จำนวน 587 ราย/สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย บก.ตม.2 มีการปฏิเสธคนต่างด้าวในการขอเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จำนวน 2,453 ราย  

โดยมีคดีสำคัญดังนี้ คดีที่ 1 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยว เปิดปฏิบัติการ Operation X-ray พื้นที่ หาคนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ในวันพุธที่ 9 พ.ย. 65  ณ โรงแรมรามาการ์เด้น เขตหลักสี่ และพื้นที่จุดเสี่ยงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีผลการปฏิบัติ สามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวที่อยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) จำนวน 7 ราย จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 1 ราย เปรียบเทียบปรับเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานไม่แจ้งที่พักอาศัยกรณีรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยตาม ม.38 จำนวน 17 ราย

คดีที่ 2.บก.สส.สตม. ได้ขยายผลจากผับ ชาวจีนย่านเอกมัย ได้มีการจับกุม นายเซา เซียนโป อายุ 33 ปี นายทุนจีนรายใหญ่ ที่พบเบาะแสว่า สวมบัตรประชาชนไทย  ตามหมายจับ ศาลจังหวัดปัตตานี ที่ จ.125/2565  ลง 20 เม.ย. 64 ข้อหา แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน, เป็นผู้สนับสนุนในการขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทยฯ และมีการขยายผลนำหมายค้นศาลอาญาเข้าค้นอาคารพาณิชย์ ย่านสุทธิสาร ถนนวิภาวดีรังสิต เขตพญาไท กรุงเทพฯ ตรวจยึดของกลาง จำนวนหลายรายการ อาทิ ชุดเครื่องแบบทหารพร้อมติดป้ายชื่อของผู้ต้องหา, รถยนต์ จำนวน 2 คันหนังสือเดินทาง จำนวน3 เล่ม เป็นต้น จากการสืบสวนก่อนจับกุม พบว่าผู้ต้องหามักใช้รถติดธงประจำประเทศไทยและจีน  คล้ายกับรถของสถานทูต และยังมีรถนำขบวนอีก 1 คัน โดยคาดว่าเป็นทะเบียนรถปกติ ไม่ใช่รถของสถานทูตแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการพยายามทำให้ดูเหมือนรถของสถานทูตเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถจับกุม นายศตวรรษ (นามสมมุติ) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย คนขับรถของนายเชา (นามสมมุติ) พร้อมของกลาง วิทยุสื่อสารยี่ห้อ SRENDER จำนวน 1 เครื่อง ในข้อหา มีและใช้งานเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต

ต่อมาขยายผลขอหมายค้นศาลจังหวัดธัญบุรีเข้าตรวจค้นบ้านนายเชา(นามสมมุติ) ในพื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานีจับกุมผู้ต้องหาชาวไทย 2 ราย คือนายสามารถ (นามสมมุติ) อายุ 30 ปี  สัญชาติไทย ในข้อกล่าวหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง  ซึ่งสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษี มาตรา 203 พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560”  และ นายอานำ (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ในข้อกล่าวหา “ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้าที่ไม่ได้เสียภาษี มาตรา 203 พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และเป็นคนไม่มีสถานะทางทะเบียน ออกนอกเขตพื้นที่ควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาต” พร้อมของกลางรถกระบะหลังคาสูง ยี่ห้อ SUZUKI รุ่น CARRE สีขาว และสุรา บรรจุในภาชนะภายในกล่อง จำนวน  40 ขวด

จากการตรวจค้นบ้านพักนายเซา เซียนโป พบช่องทางลับ เชื่อได้อาจจะมีการนำหลักฐานสำคัญบางส่วนออกไปในช่องทางนั้น ก่อนที่ตำรวจจะเข้าตรวจค้น ส่วนโลโก้ตราสัญลักษณ์ สมาคมพ่อค้าไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ที่ติดอยู่หน้าบ้าน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าสมาคมดังกล่าวมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ความเกี่ยวข้องระหว่างผู้ต้องหา และทางสมาคมฯ นั้นในลักษณะเอกสารยังไม่ปรากฏ แต่ในทางพฤตินัยผู้ต้องหาอยู่ในลักษณะของที่ปรึกษาของสมาคมฯ จากการสืบสวนพบว่ามีผู้พบมีเป้าหมายที่เกี่ยวข้องหลายรายแต่อยู่ระหว่างการขยายผล ส่วนกรณีสมาคมฯ ดังกล่าว อาทิตย์หน้าจะมีการเรียนผู้ที่เกี่ยวเข้ามาสอบข้อเท็จจริง  ส่วนที่หลายคนมองว่านายเซา เซียนโป เกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาจีนรายสำคัญที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนหน้านี้หรือไม่ ตามหลักฐานยังไม่มีความเกี่ยวข้องกัน

คดีที่ 3 บก.สส.สตม. ร่วมกับตำรวจจีนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) สัญชาติจีน  จำนวน 2 ราย โดยได้รับการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจสาธารณรัฐประชาชนจีนประสานผ่านสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งข้อมูลผู้ต้องหาตามหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) สัญชาติจีน จำนวน 2 ราย ทางด้าน บก.สส.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนจนสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย  ได้ดังนี้

1.นายหลี่ (นามสมมุติ) สัญชาติจีน อายุ 27 ปี ซึ่งมีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) แล้วได้หลบหนีมาอยู่ในราชอาณาจักรไทย ในข้อหาในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนผ่านแอพพลิเคชั่น โดยผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวกทำแอพพลิเคชั่นหลอกให้ร่วมลงทุน เมื่อได้เงินจำนวนหนึ่งก็ได้ทำการปิดแอพ และหลบหนีเข้ามาประเทศไทย โดยมีผู้เสียหายกว่า 400,000 ราย ความเสียหายกว่า 50 ล้านบาท  ภายหลังได้รับแจ้งข้อมูลฝ่ายสืบสวนพบว่าได้หลบหนีไปอยู่ในพื้นที่ย่านสุทธิสาร กรุงเทพมหานคร  จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบ นายหลี่ (นามสมมุติ) เมื่อทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันจริงกับหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) จึงเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ผลักดันออกนอกราชอาณาจักร

2.นายฮู (นามสมมุติ) สัญชาติจีน อายุ 40 ปี ซึ่งมีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) แล้วได้หลบหนีมาอยู่ในราชอาณาจักรไทย โดยมีข้อหาในการกระทำผิดคือ ครอบครองสิ่งของต้องห้าม และปลอมเอกสาร จากการสืบสวนพบว่าได้หลบหนีไปอยู่บริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ จว.สมุทรปราการ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบจนพบ นายฮู (นามสมมุติ) เมื่อทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่าเป็นบุคคลเดียวกันจริงกับหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) จึงเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร และ ผลักดันออกนอกราชอาณาจักร

คดีที่ 4  บก.สส.สตม. จับกุมนายจาง (นายสมมุติ) สัญชาติไต้หวัน ที่อาจจะเชื่อได้ว่าเป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวัน ที่ทำงานในประเทศฟิลิปปินส์ โดยเจ้าหน้าที่ สตม.ได้ตรวจพบรถยนต์เฟอร์รารี สีแดง ทะเบียน กต 488 กรุงเทพมหานคร มูลค่า 24 ล้านบาท จอดให้ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวถูกระงับใช้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สตม. จึงได้รอเจ้าของรถมายืนยันตัวบุคคล ต่อมาพบว่านายจาง (นามสมมุติ) ไม่มายืนยันว่าเป็นเจ้าของรถ พร้อมแสดงหนังสือเดินทางประเทศกัมพูชา เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อ 30 ต.ค. 65 ได้รับอนุญาตประเภท ผ.ผ.14  จึงได้นำข้อมูลตรวจสอบในระบบBiometric ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า มีใบหน้าคล้ายผู้ที่ใช้หนังสือเดินทาง2เล่ม เล่มแรกคือ นายโด (นามสมมุติ) สัญชาติไต้หวัน ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว  และเล่มที่ 2 คือนายฟู (นามสมมุติ) ชาวไต้หวันซึ่งไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ  จึงได้ประสานงานไปยังสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และจากการสืบสวนยังทราบว่านายจาง(นามสมมุติ) เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวไต้หวัน ที่ทำงานอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์ มีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือ   ความปลอดภัยของประชาชนฯ จึงได้ดำเนินเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร และผลักดันออกนอกราชอาณาจักร หลังจากนี้จะทำงานควบคู่กับ ปปง.ในการขยายผลในส่วนของทรัพย์สิน และเส้นทางการเงินต่อไป

ภายหลังการแถลงข่าว พล.ต.ต. พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจค้นบ้านที่จังหวัดปทุมธานี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 คน คือ นายสามารถ สัญชาติไทย ในข้อหาครอบครองสุราผิดกฎหมายโดยไม่รับอนุญาต และนายอนันต์ บุคคลไม่มีสถานะทางทะเบียนในข้อหาเดียวกัน เบื้องต้นจากการสอบปากคำนายสามารถให้การรับว่าเป็นลูกน้องของนายเชา โดยจะทำหน้าที่ขับรถและดูแลบ้านของผู้ต้องหา ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลไปยังกลุ่มผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ ทั้งคนขับรถในขบวนของนายเชาว์ที่มักใช้รถติดธงประจำประเทศไทยและจีนคล้ายกับรถของสถานทูตและรถนำขบวน รวมถึงผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆพี่อาจมีส่วนในการกระทำความผิด ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบตัวของบุคคลทั้งหมดแล้วอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกหมายจับและหมายค้นตามจุดต่างๆซึ่งสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะมีปฏิบัติการตรวจค้นในสัปดาห์นี้หลายจุด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยถึงรายละเอียดได้

นอกจากนี้ยังเตรียมเรียกตัวนายกสมาคมที่ผู้ต้องหาไปตั้งสำนักงานมาสอบปากคำเพิ่มเติม แต่จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่าสมาคมดังกล่าวไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับผู้ต้องหาแต่อย่างใดแต่จำเป็นต้องสอบปากคำให้สิ้นสงสัย และจะมีการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินของผู้ต้องหาว่าไปถึงยังบุคคลใดหรือไม่

ส่วนกรณีที่หลายคนสงสัยว่านายเชา จะเป็นนายเซา เซียน โป ซึ่งอาจไปเกี่ยวข้องกับแก๊ง 5 เสือนายทุนจีนสีเทาธุรกิจผิดกฎหมายที่มีการเปิดเผยชื่อไปก่อนหน้านี้หรือไม่ จากการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองล่าสุดยังไม่พบว่าผู้ต้องหาที่ทางสตม.จับกุมตัวได้ จะไปเกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าว แต่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐานในเครือข่ายดังกล่าวว่าผู้ต้องหารายนี้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ หากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. เปิดเผยถึงการเตรียมความพร้อม และรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ในช่วงที่จะมีการประชุมเอเปค ผู้นำของแต่ละประเทศ เพื่อป้องกันบุคคลที่อาจเข้ามาสร้างสถานการณ์ในช่วงนี้ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยว จึงมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศจำนวนมาก และเป็นช่วงเดียวกันกับการประชุมเอเปค แต่ยืนยันว่า มาตรการตรวจสอบ ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศ อย่างเข้มงวด ขณะนี้ยังไม่พบบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้ามาเมือง โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นภัยความมั่นคงของประเทศคู่ขัดแย้ง ที่ร่วมประชุมเอเปค.