สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ว่า เทศบาลกรุงเคียฟรายงานว่า โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและน้ำประปาทั้งหมดในเมืองหลวงของยูเครน ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 3 ล้านคน ไม่สามารถใช้การได้ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา เนื่องจากการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซีย ซึ่งปฏิบัติการในวันดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย จากการที่ขีปนาวุธตกใส่อาคารที่พักอาศัยหลังหนึ่ง
National police posted video showing aftermath of the russian missile strike in the Kyiv region. This is real hell pic.twitter.com/GNYfGNBTkb
— Olena Halushka (@OlenaHalushka) November 23, 2022
Look at this! It's almost midnight in Kyiv, but at this fountain where we are right now, dozens of Ukrainians are still standing to get water so that they can wash themselves, use the toilet – and have drinking water. 2022 in the middle of Europe after new rocket attacks @BILD pic.twitter.com/QxRHgP5aRe
— Paul Ronzheimer (@ronzheimer) November 23, 2022
ขณะที่ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวผ่านระบบทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ ต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังกว่านี้ “เพื่อลงโทษ” รัฐบาลมอสโก ซึ่งยกระดับปฏิบัติการทางทหาร ด้วยการเน้นโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทั่วยูเครน ตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา

ด้าน นายวาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ตำหนิการที่ยูเอ็นเอสซีเปิดโอกาสให้เซเลนสกี แถลงต้อที่ประชุม ยิ่งตอกย้ำ “การข่มขู่คุกคามอย่างไร้สาระ” โดยรัฐบาลเคียฟ “ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากตะวันตก” และกล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน เป็นผลจากการขาดความแม่นยำของกองทัพยูเครนเอง ในการบังคับใช้ระบบป้องกันขีปนาวุธ
ในอีกด้านหนึ่ง มอลโดวาซึ่งมีพรมแดนทางตะวันออกและทางตอนใต้ติดกับยูเครน รายงานการซ่อมแซมระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศ “ได้แล้วมากกว่า 90%” หลังการโจมตีระลอกใหม่ของทัพรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อมอลโดวา ซึ่งซื้อกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่จากยูเครน
อนึ่ง มอลโดวาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนที่สุดในยุโรป และมีประชากรประมาณ 4 ล้านคน แต่รับให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวยูเครนในระดับมากที่สุด เมื่อเทียบอัตราแบบต่อหัวประชากร.
เครดิตภาพ : REUTERS