สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ว่า เทศบาลกรุงเคียฟรายงานว่า โครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าและน้ำประปาทั้งหมดในเมืองหลวงของยูเครน ซึ่งมีผู้อยู่อาศัยมากกว่า 3 ล้านคน ไม่สามารถใช้การได้ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา เนื่องจากการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซีย ซึ่งปฏิบัติการในวันดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 10 ราย จากการที่ขีปนาวุธตกใส่อาคารที่พักอาศัยหลังหนึ่ง


ขณะที่ ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวผ่านระบบทางไกลอิเล็กทรอนิกส์ ต่อที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) เรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างจริงจังกว่านี้ “เพื่อลงโทษ” รัฐบาลมอสโก ซึ่งยกระดับปฏิบัติการทางทหาร ด้วยการเน้นโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทั่วยูเครน ตั้งแต่เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา

เจ้าหน้าที่กู้ภัยตรวจสอบอาคารหลังหนึ่งในกรุงเคียฟ ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการสู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน


ด้าน นายวาสซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ตำหนิการที่ยูเอ็นเอสซีเปิดโอกาสให้เซเลนสกี แถลงต้อที่ประชุม ยิ่งตอกย้ำ “การข่มขู่คุกคามอย่างไร้สาระ” โดยรัฐบาลเคียฟ “ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากตะวันตก” และกล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน เป็นผลจากการขาดความแม่นยำของกองทัพยูเครนเอง ในการบังคับใช้ระบบป้องกันขีปนาวุธ


ในอีกด้านหนึ่ง มอลโดวาซึ่งมีพรมแดนทางตะวันออกและทางตอนใต้ติดกับยูเครน รายงานการซ่อมแซมระบบจ่ายกระแสไฟฟ้าในประเทศ “ได้แล้วมากกว่า 90%” หลังการโจมตีระลอกใหม่ของทัพรัสเซีย เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อมอลโดวา ซึ่งซื้อกระแสไฟฟ้าส่วนใหญ่จากยูเครน


อนึ่ง มอลโดวาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจยากจนที่สุดในยุโรป และมีประชากรประมาณ 4 ล้านคน แต่รับให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวยูเครนในระดับมากที่สุด เมื่อเทียบอัตราแบบต่อหัวประชากร.

เครดิตภาพ : REUTERS