เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นางวรรณา อรัญสร อายุ 55 ปี ชาวบ้านพรเจริญ อ.วังสามหมอ จ.อุดรธานี พร้อมด้วยญาติรวม 7 คน เข้าพบ พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อุดรธานี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม กรณีนายคำดี อรัญสร อายุ 49 ปี น้องชายเข้าไปขโมยกัญชาของเพื่อนบ้านถูกเจ้าของบ้านจับได้ และทุบตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 สัปดาห์ ไม่สามารถเดินและกินอาหารได้ กระทั่งเสียชีวิต พอไปแจ้งตำรวจ สภ.วังสามหมอ กลับไม่ทำคดี อ้างว่าผู้ตายเข้าไปขโมยของบ้านคนอื่น เจ้าของบ้านสามารถป้องกันทรัพย์สินได้ ซึ่งพวกตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะผู้ตายไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาก่อน อีกทั้งหลังการถูกซ้อม ทำให้เจ็บป่วยและเสียชีวิต ญาติพยายามเข้าแจ้งความกลับ ถูกตำรวจข่มขู่ตลอดจนเกิดความกลัวจึงร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน ให้ช่วยเหลือ เหตุเกิดวันที่ 15 พ.ย.-1 ธ.ค. ที่ผ่านมา

นางวรรณา เล่าว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลาประมาณ 22.00 น. ของคืนวันที่ 15 พ.ย. นายคำดี เป็นพ่อม่าย มีลูกชายอายุ 18 ปี 1 คน อาศัยอยู่กระท่อมนาของตน ตนยอมรับว่านายคำดีเป็นคนเสพกัญญาตั้งแต่วัยรุ่น ได้เข้าไปขโมยต้นกัญชาของเพื่อนบ้านจริงและถูกเจ้าของบ้านจับได้ และถูกรุมทำร้ายร่างกาย ซึ่งนายคำดีพยายามที่จะคลานออกมาด้านนอกบ้าน แต่เจ้าของบ้านก็ตามมากระทืบซ้ำหลายครั้ง จนนายคำดีแน่นิ่งไป ซึ่งหลังจากนั้นมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้านมาระงับเหตุและควบคุมตัวนายคำดี ไปที่สถานีตำรวจภูธรวังสามหมอ โดยแจ้งข้อหาทะเลาะวิวาท และจับนายคำดีติดคุกเป็นเวลา 1 คืน ก่อนที่จะเปรียบเทียบปรับ 500 บาท และปล่อยตัวในวันที่ 16 พ.ย.

หลังจากถูกปล่อยตัว นายคำดีได้กลับมาที่บ้าน หลังจากนั้นมาก็นอนซมอยู่ที่บ้านมาตลอด ไม่ออกจากบ้าน เพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนักและกินข้าวปลาอาหารไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด แต่ญาติไม่รู้เพราะนายคำดีไม่ได้ออกบ้าน จนกระทั่งวันที่ 23 พ.ย. มีเพื่อนบ้านมาบอกว่านายคำดีอาการไม่ดี ญาติจึงพากันนำตัวส่งโรงพยาบาลวังสามหมอนอน พักรักษาตัวอยู่ประมาณ 3-4 วัน จากนั้นก็กลับบ้านวันที่ 27 พ.ย. เพราะนายคำดีปฏิเสธการรักษา ไม่ต้องการให้แพทย์สอดสายยางให้อาหารทางจมูก ซึ่งตอนนั้นหมอไม่ได้รับข้อมูลว่า นายคำดีถูกทำร้ายร่างกายมา ระหว่างนั้นก็ได้ไปพูดคุยกับคู่กรณี แต่ตกลงกันไม่ได้ มีการบันทึกภาพวิดีโอเอาไว้ด้วย จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 ธ.ค. และทำการฌาปนกิจวันที่ 2 ธ.ค.

“หลังจากนายคำดี เข้าไปขโมยกัญชาแล้วโดนเจ้าของบ้านซ้อมจนบาดเจ็บสาหัส และไปนอนรักษาตัวที่บ้านนานกว่า 2 สัปดาห์ ไม่สามารถเดินหรือกินอาหารได้ จากนั้นก็เสียชีวิต แต่พอไปแจ้งตำรวจกลับไม่ทำคดีให้ โดยอ้างว่า นายคำดี เข้าไปขโมยของที่บ้านของคนอื่น เจ้าของบ้านสามารถป้องกันทรัพย์สินของตัวเองได้ ซึ่งคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะนายคำดีไม่เคยมีประวัติการเจ็บป่วยมาก่อน อีกทั้งหลังจากที่ถูกซ้อมมา ก็เกิดอาการเจ็บป่วยจนเสียชีวิต ที่ผ่านมา พวกตนไปพบตำรวจเพื่อที่จะแจ้งความดำเนินคดีกับคนทำร้ายร่างกาย ตำรวจก็ข่มขู่ฝ่ายของตน จนทำให้เกิดความกลัวและไม่กล้าที่จะแจ้งความ” นางวรรณา กล่าว

นางวรรณา ยังเล่าอีกว่า ตั้งแต่ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ คู่กรณีไม่เคยมาเยี่ยมหรือไม่เคยมาช่วยเหลืออะไรเลย ตำรวจติดต่อไปเพื่อที่จะมาไกล่เกลี่ย ก็ไม่ยอมมา จนกระทั่งนายคำดีเสียชีวิตไป คู่กรณียังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าเกิดอยากได้เงินก็ไปฟ้องร้องเอา เพราะจะฟ้องร้องที่มาขโมยต้นกัญชาราคาเป็นแสนด้วย ซึ่งหลังจากที่นายคำดีเสียชีวิตแล้ว ได้พยายามที่จะไปติดต่อกับตำรวจแต่ตำรวจกลับบอกว่าพวกตนผิด เพราะว่าไปลักทรัพย์ในยามวิกาล ซึ่งตอนนั้นตัวเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แต่ก็ยอมรับว่าผู้ตายไปลักทรัพย์จริงและไม่มีหนทางช่วยเหลือ รู้สึกน้อยใจตำรวจอ้างแต่เพียงว่าพวกตนผิดทุกอย่าง คนตายทั้งคน ซึ่งตำรวจก็ยังยืนยันว่า ฝ่ายตนผิด ซึ่งตนคิดว่าทำไมฆ่าคนตายทั้งคนกลับไม่มีความผิด ทำไมตำรวจไม่ช่วยเหลือ จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี

ด้าน พล.ต.ต.พิษณู อุณหเสรี ผบก.ภ.จ.อดรธานี เปิดเผยว่า พร้อมให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย เพิ่งได้รับฟังฝ่ายเดียว แต่จากข้อมูลที่ได้รับฟังเชื่อว่า จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหาคู่กรณีได้ คือ ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา หรือ กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จะสั่งให้พนักงานสอบสวน สภ.วังสามหมอ เร่งดำเนินการสอบปากคำประจักษ์พยานทั้งสองฝ่าย และหากญาติผู้ตายเชื่อว่ามีประจักษ์พยานอื่นหรือหลักฐานอื่นก็นำมาให้ตำรวจ นอกจากนี้ ผลวินิจฉัยการเสียชีวิตของแพทย์ ก็เป็นหลักฐาน ซึ่งจะต้องไปสอบสวนปากคำจากแพทย์ที่ทำการรักษา ขอรับรองว่าตำรวจจะต้องรับแจ้งความแน่นอน และให้ทั้งสองฝ่ายไปพิสูจน์ความจริงกันบนศาล

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในที่เกิดเหตุมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะนายคำดีกำลังลงมือลักต้นกัญชา ทราบว่ามีการเข้ามาก่อเหตุแล้วหลายครั้ง ซึ่งครั้งล่าสุด ก็มาเกิดเหตุความรุนแรงขึ้น แต่ไม่มีภาพในวันเกิดเหตุ จนกระทั่งมีการแจ้งความดำเนินคดี จากการสอบถามทราบเพียงว่า คู่กรณีซึ่งเป็นเจ้าของสวนกัญชา เป็นคนต่างพื้นที่ แต่มาแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่หมู่บ้านนี้