เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมา กสทช.ได้ประชุมนัดพิเศษ การพิจารณาดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้าย ซึ่งมีการเปิดเผยเอกสารการประชุมบางส่วนออกมา
โดยมีประเด็นที่หลายคนยังคงสงสัย ถึงที่มาของปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะ คนของ กสทช. คนไหน ที่การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) อ้างว่า ได้ตกลงด้วยวาจา และเป็นผู้ชี้แนวทาง ให้ กกท. ดำเนินการทำ MOU กับเอกชน แบบไม่สนใจประกาศ Must carry
โดย กกท. ได้ส่งตัวแทนผู้บริหารระดับสูง จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายยุธยา จีนหีต ผู้อำนวยการสำนักผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย, นายสมพร ไชยสงคราม ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กกท., นายอภิชาต ชื่นสุวรรณ ที่ปรึกษาผู้ว่าการ กกท. เข้าประชุมเพื่อชี้แจงและยืนยันต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ว่าได้รับมอบอำนาจจากนายก้องศักดิ์ ยอดมณี ผู้ว่าการกีฬาแห่งประเทศไทย ในการเข้ามาชี้แจงครั้งนี้

โดยในเอกสารบันทึกการประชุม มี 3 ประเด็นที่เปิดเผยเกี่ยวกับปมลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกที่ยังเป็นประเด็นปัญหา ดังนี้
ประเด็นที่ 1 กกท.ย้ำชัด รับทราบและเข้าใจว่า IPTV อยู่ใต้ประกาศ Must Carry ของ กสทช. ที่ กกท. ต้องปฏิบัติตาม

ตาม ข้อ 5.4.1 (1) ตัวแทนของ กกท. ระบุชัดเจนว่า ทาง กกท. รับทราบและเข้าใจว่า กสทช มีหน้าที่กำกับดูแลตามประกาศ Must Have และ Must Carry และตาม ข้อ 5.4.1 (2) กกท. รับทราบและเข้าใจว่าผู้ให้บริการโครงข่ายแบบบอกรับสมาชิก หรือ IPTV เป็นผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กสทช. ซึ่งมีหน้าที่ปฏิบัติตามประกาศ Must Carry กล่าวคือ กกท. รับทราบในเงื่อนไขดังกล่าว ก่อนการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ และก่อนจะดำเนินการหาพันธมิตรรายอื่นมาสนับสนุนเงินในครั้งนี้ แต่ท้ายที่สุด กกท. กลับไม่ยึดถือตามที่ตกลงกันกับ กสทช.
ประเด็นที่ 2 ก่อนลงนาม กกท. ได้หารือ รองเลขาฯ กสทช. เรื่องการขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากภาคเอกชน และได้รับคำตอบจาก รองเลขาฯ กสทช. ว่าสามารถดำเนินการได้ โดยให้ปฏิบัติตามกฏหมายลิขสิทธิ์ โดยไม่ต้องยึดตามประกาศ Must Carry

ตามข้อ 5.4.1 ตัวแทนจาก กกท. ได้ให้ข้อมูลว่า ก่อนลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมมือ กกท. ได้หารือกับ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการ เลขาธิการฯ กสทช. เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากเอกชน และได้รับคำตอบจากบุคคลดังกล่าวว่าสามารถดำเนินการได้ โดยให้ปฏิบัติตามกฏหมายลิขสิทธิ์ ซึ่งในวันดังกล่าว มีผู้ร่วมพูดคุยประมาณ 3-4 ท่าน โดยเป็นเพียงการพูดคุยตกลงกันด้วยวาจา แต่ไม่มีการบันทึกรายละเอียดการเจรจาและหารือไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
กล่าวได้ว่า นายไตรรัตน์ และ กกท. ทราบเงื่อนไขตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่า การถ่ายทอดสดครั้งนี้ ต้องอยู่ใต้ประกาศ Must Carry แต่เหตุใด นายไตรรัตน์ จึงได้ชี้แนะทาง กกท. ไปเช่นนั้น จนเป็นเหตุให้ ทาง กกท. ไปดำเนินการทำข้อตกลงกับเอกชนรายอื่น ด้วยเงื่อนไขที่ขัดต่อประกาศ Must carry
ประเด็นที่ 3 กกท. รับทราบและเข้าใจดีว่า หากมอบสิทธิ์ Exclusive Right ให้กับกลุ่มทรูแล้ว จะส่งผลให้ IPTV รายอื่นจอดำ อันเป็นการขัดต่อกฎ Must carry แต่ กกท.ยอมรับว่า จำเป็นต้องให้กลุ่ม ทรูเข้ามารับสิทธิ์ดังกล่าว ด้วยข้อจำกัดของงบประมาณ

ตามข้อ 5.4.3 (4) ตัวแทนจาก กกท. ชี้แจงว่า กกท. รับทราบและเข้าใจว่า หากมีการมอบสิทธิ์ Exclusive Rigth ให้กับเอกชนรายใดแล้วจะส่งผลให้ผู้ให้บริการโครงข่ายแบบบอกรับสมาชิกไม่สามารถปฏิบัติตามประกาศ Must carry โดยชอบด้วยกฎหมายได้ และจะส่งผลกระทบต่อบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่ กกท. ได้ทำไว้กับ กสทช. แต่เนื่องจาก กกท. มีข้อกำหนดด้านงบประมาณและจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนเพิ่มเติม ดังนั้น กกท.จึงจำเป็นต้องเปิดกว้างให้เอกชนจัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์มายัง กกท.
โดยท้ายที่สุด มีกลุ่มทรูและเอกชนรายอื่นๆ เข้าร่วมสนับสนุน กกท. จึงจำเป็นต้องให้เอกชนที่ได้รับการสนับสนุนได้รับสิทธิประโยชน์ที่พึงมีตามกฎหมายลิขสิทธิ์
และตาม ข้อ 5.4.3 (5) ก่อนลงนาม กกท. ได้ตรวจสอบเนื้อหาหรือข้อความตามบันทึกข้อตกลงฯ แล้ว กกท. เห็นชอบในหลักการว่าสิทธิใดๆ ที่ กกท. ได้รับจาก FIFA จะต้องมีการดำเนินการเพื่อให้เกิดการถ่ายทอดการแข่งขัน ผ่านการให้บริการของผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ในกำกับดูแลของ กสทช. ในทุกประเภท และทุกช่องทางอย่างเท่าเทียมกัน
ตามเอกสารการประชุม กสทช.นัดพิเศษ ฟุตบอลโลก 2022 ข้างต้น ชี้ชัดว่า ทาง กกท. รับทราบและเข้าใจดีถึงประกาศ Must carry ที่ต้องปฏิบัติตาม หากรับเงินสนับสนุน 600 ล้านบาทจาก กสทช.ต้องดำเนินการถ่ายทอดสดผ่านการให้บริการของผู้รับใบอนุญาตที่อยู่ในกำกับดูแลของ กสทช. ในทุกประเภท และทุกช่องทางอย่างเท่าเทียมกัน
ทำให้เกิดคำถามฝ่ายเกี่ยวข้องมีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามประกาศ Must carry ตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือไม่?