เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านคูบ ต.คูบ อ.น้ำเกลี้ยง จ.ศรีสะเกษ นายสุพจน์ ไชยกุฉิน ปลัดอำเภอชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนนายอำเภอน้ำเกลี้ยง เปิดเผยว่า ได้เดินทางไปเป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการจัดกิจกรรมวันครบรอบวันละสังขาร หลวงปู่ทอง ปภากโร ครบรอบ 2 ปี โดยได้รับความเมตตาจาก พระญาณวิเศษ (หลวงปู่สุพรรณ กนโก) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ (ธ.) เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มี นายบุญเลิศ ภาคะ นายก อบต.คูบ นำพุทธศาสนิกชนชาว ต.คูบ อ.น้ำเกลี้ยง และ จ.ศรีสะเกษ ร่วมในพิธีเป็นจำนวนมากมีกิจกรรมประกอบด้วย นุ่งผ้าไทยผ้าพื้นเมืองทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง พิธีเปลี่ยนจีวรหลวงปู่ทอง ณ เจดีย์ที่ตั้งสังขารหลวงปู่ และพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลท้าวเวสุวรรณบูชาครู รุ่น 1 จากเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัดศรีสะเกษ

ทั้งนี้ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระวันละสังขารของหลวงปู่ทอง นำเงินทำบุญบูชาวัตถุมงคลมาสร้างศาลาการเปรียญวัดบ้านคูบ และเพื่อส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นนุ่งผ้าไทยผ้าพื้นเมืองทำบุญตักบาตรให้เป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรมของ อ.น้ำเกลี้ยง แบบยั่งยืนต่อไป มีประชาชนมาร่วมงานจำนวนมาก

ซึ่งในการจัดงานครั้งนี้ ปรากฏว่าประชาชนที่มาร่วมงานต่างพากันให้ความสนใจ หลวงพ่อพรชัย พุทธสาโร เจ้าสำนักสงฆ์น้ำย้อย ต.บักดอง อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เป็นอย่างมาก เนื่องจาก หลวงพ่อพรชัย จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างไปจากพระสงฆ์ไทยทั่วไป เพราะท่านมีเครายาวมาก โดยเครายาวถึงตัก เป็นสีเงิน และมัดม้วนรวมกันยาวลงมา ซึ่งหลวงพ่อพรชัย ท่านประกอบศาสนพิธีตามกิจของสงฆ์ตามปกติเช่นเดียวกับพระสงฆ์ทั่วไป ทั้งการสวดมนต์ การออกรับบิณฑบาตจากญาติโยมที่พากันมาทำบุญตักบาตรจำนวนมาก การฉันภัตตาหาร การให้ศีลให้พรแก่ญาติโยม ซึ่งหลวงพ่อพรชัย เป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำให้พุทธศาสนิกชนที่มาร่วมงานนี้ พากันมากราบไหว้ด้วยความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมาก และพากันขนานนามท่านหลวงพ่อพรชัยว่า หลวงปู่เคราเงิน

หลวงพ่อพรชัย กล่าวว่า การที่อาตมาภาพไว้เครายาวแบบนี้ไม่ได้เป็นเคล็ดอะไรอะไรทั้งสิ้น ที่อาตมาภาพไว้เครายาวแบบนี้เป็นเพราะความเชื่อมากกว่า ความเชื่อถือความสัตย์ ถ้าจะพูดไปแล้วตั้งแต่ที่ได้บวชที่วัดอรุณสว่างบ้านกราม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ พอดีสมัยนั้นเขมรแดงยิงกันฆ่ากัน อาตมาภาพจึงได้ลงไปที่ประเทศเขมร ไปอยู่ที่วัดของเขมร เป็นถ้ำเดือนถ้ำดาวของเขมร จากนั้นก็ได้กลับขึ้นมาในประเทศไทยพบว่าเกิดสงครามในเขมร ตอนช่วงนั้นได้นอนฝัน เหมือนกับหูแว่วว่าขอหนวดขอเคราเอาไว้จะไปอยู่ด้วย อาตมาภาพจึงได้บอกว่า จะเอาไว้ถ้าจะมาอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไร นี่คือสาเหตุที่อาตมาภาพไว้เครายาว เพราะว่าถือสัจจะเอาไว้ จึงได้ไว้เครายาวมาตลอด

หลวงพ่อพรชัย กล่าวต่อว่า หลังจากที่ขึ้นมาจากภูตะแบง ก็มาอยู่กับหลวงปู่สรวง ไปๆมาๆ และไปกับหลวงปู่สรวงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 ก่อนปี 2537 แต่ก่อนเคราจะไม่เป็นแบบนี้เคราจะห้อยกระจายลงมา พอดีมีครูบาอาจารย์ได้มาบอกว่าทำไมไม่ตัดอาตมาภาพจึงได้กราบนมัสการไปว่าไม่สามารถตัดได้ อาตมาภาพขอเคราเอาไว้เพราะว่าได้ให้สัจจะวาจากับครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือที่ได้ยินมา ซึ่งเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลอาตมภาพได้อธิฐานว่าหากจะมาอยู่จริงก็ขอให้มัดเคราติดกัน ตั้งแต่นั้นมา เคราก็มัดติดกันจึงได้เอาไว้ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไว้เครายาวได้ประมาณ 30 ปีแล้ว ซึ่งการไว้เครานี้ไม่ได้ทำอะไรให้พุทธศาสนาเสียหาย ก็อยู่ตามธรรมชาติของพระสงค์ มีสัจจะวาจากับเขาว่าอย่างนั้นนะ อาตมภาพเคยเอาเคราออกนิดหนึ่งปรากฏว่าทำให้ป่วย 3 วัน จึงไม่แตะต้องเคราอีกเลย คนเราต้องรักษาสุขภาพยิ่งอาตมาภาพอยู่ในป่าจึงจะต้องดูแลตนเอง จากนั้นก็ไม่ตัดเคราอีกเลยจึงได้อยู่มาอย่างนี้ จนถึงปัจจุบันนี้ขณะนี้ได้ 30 กว่าพรรษาแล้ว