ทรงรับไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์

เมื่อเวลา 17.09 น. วันที่ 20 ธ.ค. ที่ห้องชมวังอาคารราชนาวิกสภา พล.ร.อเชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) แถลงข่าวความคืบหน้าเหตุการณ์เรือหลวงสุโขทัยอัปปาง ว่า กองทัพเรือสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับผู้ที่บาดเจ็บและเสียชีวิตให้อยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ และสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ได้ทรงประทานยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นให้กับกำลังพลประจำเรือผู้ประสบภัยทุกนาย ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อกองทัพเรืออย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งนี้ ตนขอแสดงความเสียใจกับญาติของกำลังพลเรือหลวงสุโขทัย ที่วันนี้ (20 ธ.ค.) จากการลาดตระเวนได้พบผู้ประสบภัยเพิ่ม 6 ราย เป็นผู้ประสบภัยที่มีชีวิต 1 ราย และเสียชีวิต 5 ราย

ลาดตระเวนก่อนอัปปาง

พล.ร.อเชิงชาย กล่าวว่า เรือหลวงสุโขทัยเพิ่งได้รับการซ่อมทำขนาดใหญ่เพื่อเตรียมการในการที่จะไปปฏิบัติการในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 ปี แต่แผนดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะการสร้างหรือการขุดลอกท่าเรือในพื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันไม่เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ ในวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา เรือหลวงสุโขทัยได้รับภารกิจให้ออกลาดตระเวนช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล จากสภาพอากาศที่ กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศให้รับทราบว่าในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงที่มีมรสุมกำลังแรง เข้ามาในบริเวณประเทศไทยและอ่าวไทย ก่อให้เกิดสภาพคลื่นลมที่มีความรุนแรง ทะเลมีขึ้นอยู่ในเกณฑ์ 3-4 เมตร ตลอดช่วงอ่าวไทย ตั้งแต่อ่าวไทยตอนกลางถึงอ่าวไทยตอนล่าง

เท่าที่ทราบมีน้ำเข้าเรือจำนวนมาก โดยน้ำเข้าบริเวณหัวเรือจนทำให้เกิดความเสียหายกับระบบเครื่องไฟฟ้าและเครื่องจักรของเรือ ซึ่งทางเรือพยายามสูบน้ำออกตามขั้นตอน โดยมีเครื่องสูบน้ำที่อยู่ในเรือ แต่ปรากฏว่าไม่สามารถสูบน้ำออกได้ทันตามปริมาณน้ำที่เข้ามาเป็นผลทำให้น้ำเข้ามาในตัวเรือเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปกติเรือรบจะมีความทนทางทะเลมากกว่าเรือทั่วไป เพราะเป็นเรือที่สร้างขึ้นมาเพื่อปฎิบัติการรบ หากบริเวณไหนที่ได้รับความเสียหายจากการทำการรบก็จะมีการผนึกน้ำเพื่อให้เรือลอยอยู่ในเรือในการสู้รบได้ ซึ่งหลังจากที่น้ำเข้ามาในตัวเหลือเครื่องยนต์ขวาเพียงตัวเดียวเพราะเครื่องยนต์ซ้ายโดนน้ำและเครื่องยนต์ใบจักรสูญเสียการควบคุม ทำให้ไม่สามารถเดินเรือได้

ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง

พล.ร.อเชิงชาย กล่าวต่อว่า มาตรการในการช่วยเหลือกำลังพลทุกนายจะมีเสื้อชูชีพและเรือรบทุกลำจะมีการติดตั้งแพชูชีพอัตโนมัติบริเวณตัวเรือแต่ชูชีพดังกล่าวสามารถปลดด้วยระบบแมนนวลและออโตเมติกแพชูชีพโดยอัตโนมัติ และแพชูชีพบรรจุกำลังพลได้ 15 คน ซึ่งมีอยู่จำนวน 6 แพ เพียงพอต่อกำลังพลที่จะลงไปในแพในกรณีฉุกเฉิน ย้ำว่ากองทัพเรือจะต้องมีการรายงานเหตุการณ์ตามระเบียบ เป็นการรายงานด่วนถึงผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามกฎหมาย ซึ่งต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กองทัพเรือมีระเบียบว่าด้วยการป้องกันอุบัติเหตุและความเสียหาย ที่ต้องให้หน่วยที่เป็นผู้บัญชาการของเรือคือทัพเรือภาค 1 รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รายงานความสูญเสียทั้งในเรื่องของกำลังพล ยุทโธปกรณ์

สอบสวนสาเหตุเรือล่ม-ชูชีพไม่เพียงพอ

จากนั้นจะมีการรายงานเรื่องของระเบียบความรับผิดทางละเมิด ที่ต้องรายงานข้อเท็จจริงไปถึงกระทรวงการคลัง และ นายกฯ ได้รับทราบตามกฏหมาย เพราะฉะนั้นในรายละเอียดที่เป็นข้อเท็จจริงไม่ว่าจะเป็นสาเหตุของเรือจม หรือสาเหตุที่มีการกล่าวว่า เสื้อชูชีพไม่เพียงพอกับกำลังพลในส่วนที่มาสมทบ เพื่อไปทำภารกิจที่หาดทรายรี จะต้องถูกสอบสวนและรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดมาที่กองทัพเรือ ฉะนั้นขอให้ประชาชนรับทราบว่าเรามีกฎหมายและมีแนวทางปฏิบัติที่จะต้องสอบสวนข้อเท็จจริงในทุกเรื่องเพื่อรายงานให้ผู้บังคับบัญชาในทุกระดับชั้นรับทราบ

พล.ร.อเชิงชาย กล่าวด้วยว่า แต่ในบางเรื่องถ้าเป็นเรื่องของความลับทางราชการก็ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทั้งหมดกองทัพเรือไม่มีการปกปิดข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้นเราจะสอบสวนหาข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาเพื่อให้ทุกคนได้ทราบข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกำลังพลของเรือหลวงสุโขทัยที่อาจจะสูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งนี้ มีการตรวจสอบย้อนหลังและงบประมาณในแต่ละปีในการซ่อมบำรุงไม่ได้มีเปอร์เซ็นต์แตกต่างกันยังคงเดิมแต่กองทัพเรือคำนึงถึงเรื่องการใช้งบการซ่อมทำ ยุทโธปกรณ์อย่างคุ้มค่า อีกทั้งพิจารณามีการปลดประจำการเรือที่หมดอายุการใช้งานเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งปีนี้ปลดเรือตาปี และเรือตรวจการปืน และปีหน้ามีแผนปลดเรือหลวงคีรีรัฐ และเตรียมแผนงานต่อเรือฟริเกตลำใหม่

กำลังพลสูญหาย-เสียชีวิต

พล.ร.อ.ชลธิศ นาวานุเคราะห์ เสนาธิการทหารเรือกล่าวด้วยว่า ขณะที่เรือหลวงสุโขทัยอับปางได้มีการส่งเรือไปช่วยเหลือ และเร่งดำเนินการค้นหากำลังพลทั้ง 30 คนแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าในคืนวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา และเช้าวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา คลื่นลมแรง การช่วยเหลือต่างๆที่ส่งไปเข้าไปถึงยากต่อการช่วยเหลือ ทั้งนี้เวลา 15.00 น. ตรวจพบผู้รอดชีวิตลอยห่างจากจุดที่เรือจมประมาณ 60 กิโลเมตร ย้ำว่ากองทัพเรือยังคงดำเนินการค้นหาลูกเรือที่เหลืออยู่ ทั้งนี้สรุปแล้วตอนนี้เราค้นหาพบแล้ว 81 ราย ยังเหลือที่ยังไม่พบอยู่ในน้ำ อีก 24 ราย และผู้ที่พบแล้วมีผู้เสียชีวิต 5 ราย อยู่ระหว่างการนำส่งและพิสูจน์ทราบ หลังจากนี้กองทัพเรือร่วมกับกองทัพอากาศจะดำเนินการค้นหากำลังพลตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จนกว่าจะพบกำลังพลที่เหลืออีก 24 ราย

ต่อมาช่วงค่ำกองทัพเรือ แจ้งสรุปรายงานการตรวจพบผู้ประสบภัยจากเดิม 6 รายเป็น 7 รายโดยอีกรายพบว่าเป็นผู้เสียชีวิตจึงทำให้ขณะนี้พบผู้เสียชีวิตเป็นจำนวน 6 ราย รอดชีวิต 1 รายเหลือที่ยังไม่พบอีก 23 ราย.