สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 21 ส.ค.ว่าสำนักงานสาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์รายงานสถิติผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสมในพื้นที่อย่างน้อย 16,984 คน เพิ่มขึ้น 832 คน ในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด นับเป็นสถิติรายวันสูงสุดครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว แบ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ 7 คน และติดเชื้อจากภายในประเทศ 825 คน
ขณะที่ยังมีผู้ป่วยต้องรักษาตัวอยู่ในระบบอีกอย่างน้อย 516 คน ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มเป็นอย่างน้อย 124 ราย โดยมีการยืนยันผู้เสียชีวิต 1 รายในรอบวันที่ผ่านมา
นพ.แบรด ฮาซซาร์ด สาธารณสุขรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ ณ ปัจจุบัน "วิกฤติ" และขอให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงสภาพสังคมส่วนรวม 

คำกล่าวของ นพ.ฮาซซาร์ดเกิดขึ้น ในเวลาเดียวกับที่สำนักงานตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ตั้งจุดตรวจรอบเมืองซิดนีย์ เพื่อสกัดการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ของผู้ที่อาจมีจุดประสงค์เดินทางมาร่วมการประท้วง ซึ่งมีการนัดหมายกันแทบทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ และเพิ่มการลาดตระเวนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรวมตัว แต่ปรากฏว่า ยังคงมีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาเดินขบวนต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ และเจ้าหน้าที่จับกุมไปแล้วหลายคน
ตำรวจควบคุมตัวหนึ่งในผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ บริเวณสวนสาธารณะวิกตอเรีย ในเมืองซิดนีย์
ทั้งนี้ นางกลาดีส์ เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ขยายระยะเวลาล็อกดาวน์เมืองซิดนีย์ และอีก 3 เขตใกล้เคียง ได้แก่ เซ็นทรัล โคสต์ บลู เมาเทนส์ และโวลลองกอง ต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย.นี้ "เป็นอย่างน้อย" หลังคำสั่งฉบับปัจจุบันจะครบกำหนดในวันที่ 28 ส.ค.นี้ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมทั้งออกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากอนามัยครอบคลุมทั้งรัฐนิวเซาท์เวลส์ และ 12 เขตในเมืองซิดนีย์ซึ่งมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม "ในระดับสูงสุด" ต้องอยู่ภายใต้เคอร์ฟิว ระหว่างเวลา 21.00-05.00 น. นับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 23 ส.ค.นี้เป็นต้นไป "จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง" .

เครดิตภาพ : AP, GETTY IMAGES