เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงทิศทางการทำงานของพรรคพลังประชารัฐ และการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ในปี 2566 ว่า พรรคตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลประชาชนคนไทย ก็อยากจะทำอะไรให้กับประชาชนทุกอย่าง ให้อยู่ดีกินดี เพิ่มมากขึ้นและมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปอีก ซี่งเป็นความมุ่งหมายของพรรคพลังประชารัฐในการตั้งพรรคมา 3-4 ปีนี้

เมื่อถามว่า ขณะนี้กระแสความนิยมของ หัวหน้าพรรคมีขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคพลังประชารัฐจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ในครั้งที่แล้ว เราตั้งพรรคมา 2 เดือนก็ได้ ส.ส.ร้อยกว่าคน และคราวนี้ตนอยู่กับพรรคนี้มาตั้ง 4 ปี แล้ว มันจะไม่ได้ได้อย่างไร และเราหวังอย่างยิ่งว่าประชาชนจะให้ความสนใจต่อพรรคลังประชารัฐ ซึ่งเป็นพรรคในการจัดตั้งรัฐบาลเหมือนครั้งที่ผ่านมา และเราก็หวังว่าจะไปร่วมในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่

เมื่อถามว่า ยืนยันว่าจะทำพรรคพลังประชารัฐให้เป็นสถาบันการเมืองใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ใช่ๆๆ ตนตั้งใจว่าจะทำพรรคพลังประชารัฐ ให้เป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งต่อไป เพราะ ส.ส.ในพรรคทุกคน ให้การสนับสนุนร่วมใจอย่างดี

เมื่อถามว่า เมื่อปี่กลองการเมืองเริ่มขึ้น และท่านเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนยังไม่ขอพูดเรื่องนี้ และพรรคเองยังไม่ได้เสนอชื่อ

เมื่อถามย้ำว่า ในปี 66 การหาเสียงจะมีการปรับลุคสไตล์หาเสียงด้วยการใส่กางเกงยีน เพราะทำให้เกิดกระแสฮือฮา “ป๊อบปูลาร์” และมี “ใจบันดาลแรง“ ในช่วงรักษาการนายกรัฐมนตรี ตลอด 38 วัน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีอะไรพิเศษ ส่วนคำว่า “ใจบันดาลแรง” ตนก็คิดเอง หลังจากสื่อมวลชน ถามมีแรงบันดาลใจอย่างไรในการทำงานช่วงนั้นว่า “ผมใช้ใจบันดาลแรง ไม่ได้ใช้แรงบันดาลใจ เพราะมีแต่ใจเท่านั้น เพราะแรงผมไม่ค่อยมี… ขาเดินไม่ค่อยสะดวก” ก็เท่านั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลยุทธ์เลือกตั้งครั้งหน้ามี ”ไม้เด็ด” อะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่มีอะไร อย่างคราวที่แล้วก็ไม่ได้คิดว่า จะมาการเมืองด้วย มาครั้งแรกก็ “ตกกระไดพลอยโจน” เข้ามา 3 ปีเอง อย่างไรก็ตาม หากมีคนสนับสนุนผม ก็ทำไป ถ้าไม่มีใครสนับสนุนผมก็เลิก ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากทางการเมือง”

เมื่อถามย้ำว่า ระหว่างเป็นนักการเมืองมา 3 ปี กับเป็นทหารมาทั้งชีวิต ท่านชอบอะไรมากกว่ากัน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ผมบอกเลยว่า ผมชอบเป็นทหารมากกกว่า ผมไม่ชอบเป็นการเมือง”.