เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 26 ก.ย. ที่วัดพุทธปัญญา ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี นายปัญญา จารุมาศ ทนายความของวัดพุทธปัญญา กล่าวถึงความคืบหน้าคดียักยอกเงินจากบัญชีวัดพุทธปัญญาปี 2558 ว่า จากการไปคัดสำนวนที่ศาลจังหวัดนนทบุรีเมื่อเช้า ขณะนี้ยังอยู่ในการพิจารณาของศาล ซึ่งหลังจากมีการยื่นฟ้อง ปี 2558 มีการเรียกเบิกความจำเลยทั้ง 4 ได้แก่ จำเลยที่ 1 พระชาตรี ในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสขณะนั้น จำเลยที่ 2 พระลูกวัด จำเลยที่ 3 กรรมการวัด และจำเลยที่ 4 หญิงที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเหรัญญิก ในระหว่างที่พระชาตรีเป็นรักษาการจะอาวาส

จากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานทั้งหมด พบว่ามีการเบิกเงินจากบัญชีของวัด ในระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่า รวม 4.3 ล้านบาท เบิกครั้งละประมาณ 2-3 แสนบาท โดยมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้เซ็นรับเงินเพียงคนเดียว และไม่ยอมมาเบิกความในศาลเพียงคนเดียวด้วย ศาลจึงออกหมายจับจำเลยที่ 4 ในปี 2560 จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยที่ 4 ได้ เนื่องจากเดินทางออกนอกประเทศ โดยมีเบาะแสว่า เดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2558 แล้ว

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยที่ 4 ยังไม่พบความเชื่อมโยงไปถึงจำเลยที่ 1 นั่นก็คือพระชาตรี ขณะที่ด้านพระชาตรีเอง ได้เบิกความต่อศาลว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพียงผู้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 4 เบิกเงินเท่านั้น โดยเบิกความต่อศาลว่ามีการอนุมัติให้ถอนเงิน เพื่อจ่าย ค่าน้ำค่าไฟ บำรุงกิจการของวัด นอกจากนั้น ยังยื่นฟ้องจำเลยที่ 4 กับศาลแขวงนนทบุรี พร้อมเขียนจดหมายแถลงต่อศาลให้จำเลย ที่ 4 นำเงินมาคืนด้วย

ทั้งนี้ทนายปัญญา ย้ำว่า เงินจำนวน 4.3 ล้าน ที่ถูกยักยอกไป มีโอกาสจะได้คืน เนื่องจากคดีมีอายุความถึง 20 ปี เมื่อฟ้องร้องในปี 2560 หมายความว่า อายุความจะสิ้นสุดในปี 2580 ทนายความบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการต้องหาตัวจำเลยที่ 4 ที่เป็นผู้เซ็นรับเงินไป ถึงจะรู้เส้นทางว่ามีการกระจายโยกย้ายเงินไปที่ใครบ้าง