เมื่อวันที่ 21 ม.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ต้องไม่ลืม อำนาจเป็นของประชาชน” โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยหาเสียงชูพาทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน จะเป็นการซ้ำเติมหายนะให้ประเทศ แม้จะได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่จะเป็นแค่ชนะระยะสั้น แต่แพ้ยาว เพราะจะได้รถถังแถมมาทำแอ่นแอ๊นอีกตามเดิม สำหรับกรณีที่มีข้อสงสัยว่า ตนมีปัญหากับนายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยหรือไม่นั้น ย้ำว่าสิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์ หากไม่ตรงข้อเท็จจริงแล้ว สามารถตอบโต้ ชี้แจงได้ทุกกรณี เพราะสถานการณ์การเมืองข้างหน้าเป็นสิ่งที่น่ากังวล หากตนยังเพิกเฉย ถ้ามัวคิดถึงประโยชน์ส่วนตน ไม่คิดถึงบ้านเมือง ย่อมเป็นการทำร้ายประเทศเช่นกัน แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่า เพื่อไทยจะชนะเลือกตั้งเป็นพรรคสียงอันดับหนึ่ง จึงต้องกระตุกเตือนให้ทบทวนตัวเอง

นายจตุพร กล่าวว่า แม้ปัจจัยการยึดอำนาจเป็นสิ่งภายนอก ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยผู้มีอำนาจต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้เป็นเจ้าของจะทำอะไรก็ได้ ยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไร ก็หลงใหลว่า ตนเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น แม้วันนี้ประชาชนสิ้นหวัง แต่ยังคาดหวังว่า เมื่อมีเลือกตั้งจะยังไปเลือกตั้ง จึงขอให้สงสารประชาชนบ้าง กับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่การยึดอำนาจอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม หากเป็นรัฐบาลไม่โกง และซื่อสัตย์ต่อประชาชน ทหารหน้าไหนจะกล้ามายึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ยึดอำนาจปี 2557) และ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน (ยึดอำนาจปี 2549) ก็ไม่มีวันมายึดอำนาจได้เลย

นายจตุพร กล่าวถึงการย้ายขั้วสลับข้างมาสังกัดพรรคเพื่อไทย แล้วมีการแก้เกมแถลงขอโทษว่า เรื่องแรกถ้าไม่สถาปนาตัวเองว่าเป็นเจ้าของประชาธิปไตย ลำพังด้วยการประกาศว่า ย้ายออกเพื่อไทยเป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนูตีงูเห่าที่ศรีสะเกษ จนทำให้สังคมประจักษ์กับพฤติกรรมนักการเมืองย้ายพรรคไม่ได้นั้น หากทำได้ตามที่พูดแล้ว คนจะสรรเสริญว่า เป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง และประชาชนก็ไม่อาจยอมรับพฤติกรรมนักการเมืองแบบนี้ได้ ขณะที่การปฏิบัติเป็นคนละเรื่อง โดยไปเปิดตัวคนที่ย้ายจาก พปชร. เข้าเพื่อไทยในหลายจังหวัดในภาคอีสาน กระทั่งรับอดีตเลขาธิการพรรคไทยภักดี ผู้ร่วมชุมนุม กปปส. มาเข้าเพื่อไทยแล้วขอโทษว่าไปสังเกตการชุมนุม กปปส. ดังนั้นพฤติกรรมของเพื่อไทย จึงไม่มีอะไรที่แตกต่างกันกับพรรคไม่มีประชาธิปไตย

“ที่เละไปกว่านั้น คือ การจัดพิธีต้อนรับคนที่ออกจากพรรคก้าวไกล คุณใช้อะไรคิด เพราะตรรกะแบบนี้เลวร้าย ผมจึงอยากเรียนถึงพี่น้องคนเสื้อแดง หลายคนไม่เข้าใจว่า เราต้องซื่อสัตย์ต่อคนที่ตาย โดยหลังการต่อสู้ และก่อนผมจะเข้าคุกนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ วิดีโอลิงก์มาที่ปราศรัยร้อยเอ็ด บอกจะมีการเลือกตั้ง ให้พี่น้องถอดเสื้อแดงออก ไม่ต้องใส่แล้ว คนก็โห่ ผมจึงโทรศัพท์ไปหาบอกว่า คนรับที่พูดไม่ได้”

ทักษิณ จะพูดอะไรก็ได้ พูดถึงเสียงปืนนัดแรก พูดพ่ายเรือมาส่ง ความจริงก็ถีบหัวเรือเลย แต่เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดเดินต่อไปไมได้ เราจึงวิจารณ์ เมื่อเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่ง ย่อมมีถูกมีผิด ไม่ใช่ถูกทุกเรื่อง กำลังสถาปนาตัวเองเป็นเทพเจ้าหรืออย่างไร คือ หมายความว่าพูดอะไรก็ถูกหมด ทั้งที่พูดผิดหลายเรื่อง ทำไม่ถูกหลายเรื่อง และทำถูกก็มีหลายเรื่อง นี่เป็นหลักมนุษย์ธรรมดา ถ้าไม่วิพากษ์วิจารณ์กันในวันที่เรากำลังวิจารณ์กันได้ เรากำลังเดินเข้าไปในวงจรเดิม ซึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น

นายจตุพร กล่าวว่า การต่อสู้ของประชาชนเมื่อปี 53 ไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าตามเจตนารมณ์เลย รัฐบาลในยุคนั้น (ชุดยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ยังไม่กล้าลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ (ICC : International Criminal Court) แค่กลัว พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็ถูกยึดอำนาจจนได้ ซึ่งนอกจากไม่สร้างขบวนการต่อสู้ของประชาชนแล้ว ยังไปแบ่งแยกและทำลายขบวนการของประชาชนในแต่ละที่อีกด้วย

ทั้งนี้มีคนถามว่า ทำไมคนเสื้อแดงกลายเป็นคนเสื้อส้มจำนวนมาก ตนเล่าแบบขำๆ และเจ็บใจตัวเองว่า สมัยก่อนพรรคอนาคตใหม่ (ชื่อเดิมพรรคก้าวไกล ก่อนถูกยุบ) ตึกติดกับพรรคเพื่อไทย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ มาเก็บเสื้อแดงที่ถังขยะหน้าเพื่อไทยไปล้างทำความสะอาด เอาไปใส่ แล้วเอาเสื้อส้มมาให้ใส่ จะสังเกตว่าหลังปี 54 มา ไม่ได้ใช้ขบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย ไม่ว่าจะพรรคเพื่อไทยหรือพรรคไทยรักษาชาติที่ถูกยุบ แต่มาครั้งนี้เพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาใหม่ เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้ง และคงเพิ่งนึกได้ เวลาอยากก็ต้องการ เมื่อไม่อยากก็ทิ้งขว้างไป ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา ไม่เคยเรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อในเหตุการณ์ชุมนุมปี 53 เลย ตนทนเยอะ ความจริงคดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่หนึ่งคือนายทักษิณ ตนเป็นจำเลยที่สาม แต่อัยการไม่สั่งฟ้องทักษิณ ต่อมาอัยการคนนี้ ก็เคยเป็นแคนดิเดตนายกฯ และเป็น รมต. หมายความว่าอย่างไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องไม่อดทนไปตลอดชีวิต เราต้องอธิบายถูกเป็นถูก ผิดก็เป็นผิด

“จนมาถึงจุดนี้ วันนี้ผมไม่ต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปต่อ และขณะเดียวกันผมก็ไม่ต้องการให้ผู้มาใหม่มาทำแบบเดิม เพราะเราจะเจอคนแบบ พล.อ.ประยุทธ์ ต่ออีก 8-9-10 ปี อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงต้องพูดความจริงกับประชาชน”

นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ ใครวางแผนมาตอบโต้ตนนั้น ให้ลองนึกว่ามีตรงไหนไม่เป็นความจริงบ้าง ส่วนตนขอสงวนสิทธิ์ตอบโต้ทุกกรณี และจะหนักกว่านี้อีก ตนไม่ได้ขัดขวางชัยชนะของเพื่อไทย แต่ไม่เห็นด้วยกับการชนะด้วยการสถาปนา ตนเองเป็นนักประชาธิปไตย นอกจากนี้ การย้ายพรรคสลับขั้ว คุณไม่เห็นด้วย แต่ทำเอง แล้วหนักกว่าใครเขา โดยประกาศว่าพรรคเป็นคนดี แล้วแตกต่างอะไรจากหน้ากากคนดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับคุณหน้ากากประชาธิปไตย มันก็ปลอมทั้งคู่

นายจตุพร กล่าวย้ำว่า การฉีดวัคซีนประชาธิปไตย ต้องป้องกันประชาธิปไตย และซื่อสัตย์กับประชาชน ถ้ามาซื่อสัตย์กับคนไม่ซื่อสัตย์กับประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่า หนทางข้างหน้า ใครกล้าเข้ามาเปลี่ยนแปลง เอาแค่การประมูลวงโคจรดาวเทียมไทยคม 6 วง ซึ่งน่ากลัวมาก เพราะเป็นการประมูลวงโคจร ไม่ได้ประมูลดาวเทียม แต่เอาตัวดาวเทียมขึ้นไปเอง ทั้งนี้สิ่งที่ตนพูดมามีตรงไหนไม่จริงบ้าง ประเทศนี้ไม่ใช่ให้ใคร หรือตระกูลใดจะมาทำอะไรก็ได้ แล้วอย่าทรยศต่อความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจของประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า ความจริงประชาชนอาจไม่รู้ดีทั้งหมด แต่คุณรู้ดีที่สุดว่าทำอะไรไปบ้าง ความจริงถ้าประชาชนเป็นใหญ่ บ้านเมืองไม่เป็นแบบนี้

นายจตุพร กล่าวว่า มีคำกล่าวว่า เคารพประชาชน เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ สิ่งนั้นเป็นแค่ลมปากเพื่อได้รับความนิยมในวันเลือกตั้ง หลังจากนั้น ก็ให้คืนในปี 2570 คนละ 600 บาท แต่ประชาชนต้องสูญเสียอีกไม่รู้เท่าไร ตนจึงบอกว่าความสัมพันธ์ของทุนใหญ่ที่เป็นตัวกลางระหว่างคนเก่ากับว่าที่คนใหม่ คือความน่ากลัวและความหายนะมากที่สุด ดังนั้นการเดินทางรอบนี้ อยากให้บ้านเมืองเดินไปในทางที่ถูกต้อง แน่นอนเราไม่สามารถที่จะรักษาความรู้สึก เพราะประชาชนส่วนใหญ่เชื่ออย่างที่เขาบอก แต่เราในขณะการต่อสู้ ไม่มีตอนไหนที่จะออกนอกเส้นทางต่อสู้ในสนามรบเลย มีแต่ความซื่อสัตย์ในการต่อสู้ แต่ผลพวงจากนั้นไม่ได้สัมผัส คนที่ต่อสู้ คนที่ตาย เจ็บ ติดคุก ซึ่งไม่แฟร์สำหรับเขา เมื่อคุณต้องการก็ปลุกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ถามใจคุณดูว่า ให้ความยุติธรรมกับเขาหรือไม่ ในวันที่ได้อำนาจมาอยู่ในมือ จากเลือดเนื้อ ชีวิต และอิสรภาพ คุณตรงไปตรงมาหรือไม่

เมื่อตนกล้าวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์นายทักษิณเช่นกัน วันนี้ประเทศจะเป็นแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว เราตัดสินใจกันว่า ไม่มีการอวยฝ่ายหนึ่งแล้วถล่มอีกฝ่ายหนึ่ง แต่วันนี้เอาประเทศเป็นตัวตั้ง ไม่เอาด้วยกับ พล.อ.ประยุทธ์ และไม่เห็นด้วยกับวิธีการฝั่งทักษิณทำแบบนี้ ถ้าฝากบ้านเมืองไว้กับอคติ ไม่มีเวลาใช้สติทบทวนปัญหาที่ดำรงอยู่ว่าเกิดจากอะไร เราไม่มีทางแก้ไขปัญหาชาติได้เลย และวันนี้นายทักษิณ เองต้องลองนึกดู ยอมรับความจริงเสียบ้าง.